ซัมเมอร์นี้ ต้องลอง… สูตรสมูตตี้คลายร้อน

เข้าสู่ช่วงปลายเดือนมีนาคม เด็กๆ หลายๆ บ้าน ต่างก็สอบเสร็จ และปิดเทอมซัมเมอร์กันเรียบร้อยแล้ว อากาศร้อนๆ ที่เดาได้ว่าคงจะร้อนขึ้นเรื่อยๆ อย่างนี้ มาหากิจกรรมสนุกๆ คลายร้อน ให้เด็กๆ ทำกันดีกว่าค่ะ

หน้าร้อนอย่างนี้ อะไรจะดีไปกว่าเครื่องดื่มเย็นๆ ที่ให้ทั้งความสดชื่น กับคุณค่าทางโภชนาการจากผลไม้ อย่างสมูตตี้ ผลไม้ คงจะไม่มี .. วันนี้ ลองมาดูสูตรการทำสมูตตี้ง่ายๆ ให้เด็กๆ ได้สนุก แถมยังอร่อย ชื่นใจ กันในช่วงหน้าร้อนกันซักหน่อย

เริ่มต้นจากสูตรแรกกันเลยค่ะ Melon – Kiwi Smoothie
ส่วนผสมที่ใช้ ก็ไม่ได้ยุ่งยาก สามารถหาได้ตามซูเปอร์มาร์เก็ตใกล้บ้านได้เลย ที่ต้องเตรียมก็มี กีวีปอกเปลือก 1 ผล นำไปแช่ในช่องแช่แข็งรอไว้เลยค่ะ เมลอนเขียว หั่นเป็นชิ้นประมาณ 100 กรัม นำไปแช่ในช่องแช่แข็งเช่นกัน เติมความหวานซักนิด ด้วยน้ำผึ้ง 1 ช้อนโต๊ะ น้ำต้มสุก ½ ถ้วย น้ำมะนาว 1 ช้อนโต๊ะ เกลือป่นเล็กน้อยเพื่อความกลมกล่อม และสุดท้าย น้ำแข็งป่น ½ แก้ว
วิธีทำ ก็ง่ายมากๆ ค่ะ นำกีวี และ เมลอน ที่แช่จนเย็นจัดออกมา ใส่รวมกับส่วนผสมทั้งหมด เติมน้ำแข็งป่น แล้วปั่นจนเนื้อสมูตตี้เนียน เข้าเป็นเนื้อเดียวกัน แค่นี้ก็เป็นอันว่าเสร็จเรียบร้อยค่ะ เทใส่แก้ว แล้วชวนเด็กๆ มาตกแต่งกันตามชอบใจ อาจจะใส่ใบมิ้นท์ซักหน่อย ประดับหน้าด้วยเมลอนกลมๆ กับกีวีสไลซ์บางๆซักชิ้น แค่นี้ ก็ได้สมูตตี้สวยๆ อร่อยๆ มาดับร้อนกันแล้ว
ที่สำคัญ เมนูเครื่องดื่มเย็นๆ แก้วนี้ ไม่ได้มีดีแค่ดับร้อน แต่ยังให้วิตามิน ซี วิตามิน เอ เบต้าแคโรทีน และเต็มไปด้วยไฟเบอร์ กับสารต้านอนุมูลอิสระ อีกด้วยค่ะ

อีกซักสูตร เป็นทางเลือกสำหรับแฟนๆ ผลไม้ตระกูลเบอร์รี่ กับ Mixed Berries Smoothie
ใช้วิธีทำเช่นเดียวกัน เพียงแค่เปลี่ยนส่วนผสมของผลไม้ เปลี่ยนมาใช้ ผลสตรอเบอร์รี่ แบล็คเบอร์รี่ บลูเบอร์รี่ ราสป์เบอร์รี่ อย่างละ ¼ ถ้วย นำไปแช่ในช่องแช่แข็งจนเย็นจัด รอไว้ จากนั้น เตรียมน้ำส้มคั้น ½ ถ้วย น้ำผึ้ง 1 ช้อนชา เกลือป่นเล็กน้อย และน้ำแข็ง ½ แก้ว
นำทั้งหมด ปั่นรวมกันจนเป็นเนื้อเดียว เทใส่แก้ว แล้วประดับตามชอบใจ เพียงเท่านี้ เราก็ได้สมูตตี้สีสวยๆ อีกแก้วมาคลายร้อนกันแล้ว เมนูสวยๆ แก้วนี้ให้ประโยชน์ ทั้งในด้านการเพิ่มภูมิต้านทานของร่างกาย บำรุงสายตา และยังช่วยในเรื่องของความจำอีกด้วยค่ะ

เอาล่ะค่ะ ปิดเทอมซัมเมอร์คราวนี้ เด็กๆ คงมีอะไรสนุก ทำกันแล้ว ถ้าให้ดี ลองปรับเปลี่ยนส่วนผสม เลือกผลไม้ที่เด็กๆ ชอบ หรือให้เด็กๆ ได้ลองผสมผลไม้ที่มีทั้งรสเปรี้ยว และรสหวาน ดูว่าผสมอย่างไรถึงจะอร่อยพอดีๆ  พร้อมทั้งให้เด็กๆ ลองหาข้อมูลว่าผลไม้แต่ละชนิดที่เลือกใช้นั้นมีประโยชน์อะไรบ้าง อย่างนี้ ไม่เพียงแต่ให้เด็กๆ ได้คลายร้อน และสนุก แต่ยังจะช่วยเติมความซุกซน เพิ่มจินตนาการ และฝึกการค้นหาความรู้ไปด้วยในเวลาเดียวกันเลยทีเดียวค่ะ … สนุกกันเสร็จแล้ว ใครได้สูตรสมูตตี้อร่อยๆ  สูตรใหม่ๆ อย่าลืมนำมาแบ่งปันกันบ้างนะคะ ^^

เครื่องดื่มคลายร้อน ต้อนรับซัมเมอร์

drink
เข้าสู่เดือนมีนาคม ก่อนจะถึงเดือนต่อไปที่เป็นเดือนที่ร้อนที่สุดของบ้านเรา อากาศร้อนๆ ก็เริ่มจะร้อนขึ้นเรื่อยๆ การเลือกทานอาหารให้เหมาะกับอากาศ คงจะช่วยบรรเทาดับความร้อนลงได้บ้าง วันนี้เรามาลองดูกันดีกว่า ว่าเมนูไหนที่เหมาะ หรือ ไม่เหมาะกับช่วงอากาศร้อนๆ แบบนี้บ้าง

เริ่มกันที่ เมนูที่ควรเลี่ยงกันก่อน

“คาเฟอีน”
สาวก หรือ คอกาแฟทั้งหลาย ดื่มกาแฟช่วงหน้าร้อนแบบนี้ต้องระวังนะคะ เพราะคาเฟอีน ถึงจะช่วยกระตุ้นประสาทให้ตื่นตัว แต่บางครั้งอาจทำให้ใจสั่น เกิดอาการกระวนกระวายใจ โดยเฉพาะสำหรับคนที่ต้องออกไปอยู่กลางแจ้ง เจอกับแดดร้อนๆ เพราะคุณสมบัติอีกด้านของกาแฟคือ เป็นตัวช่วยให้เกิดการขับน้ำออกจากร่างกาย เวลาเราดื่มชา หรือกาแฟ เราอาจจะรู้สึกอยากจะเข้าห้องน้ำบ่อยๆ ช่วงหน้าร้อนร่างกายเสียเหงือในการช่วยปรับอุณหภูมิให้ร่างกายมากอยู่แล้ว ดังนั้นจึงไม่ค่อยเหมาะกับการดื่มเครื่องดื่มที่มีคาเฟอีนค่ะ

“เค็มจัด”
เกลือ หรือ โซเดียม ที่แฝงตัวมากับอาหารทั้งหลายในปริมาณที่มากเกินไปจะทำร้ายร่างกายของเราได้ โดยเฉพาะอวัยวะภายในอย่าง ไต ของเรานี่ล่ะค่ะ ช่วงที่อากาศร้อนๆ ไตของเราต้องทำงานหนักอยู่แล้ว ทั้งต้องคอยรักษาน้ำในร่างกายไว้ให้สมดุล เพื่อที่จะไปหล่อเลี้ยงอวัยวะต่างๆ ในร่างกาย และช่วยขับเหงือออกมาดับความร้อน การที่เราทานอาหารที่มีความเค็มสูงจะยิ่งเพิ่มภาระหนักให้กับไตที่จะต้องทำงานหนักขึ้นไปอีก ทางที่ดีร้อนนี้หลีกเลี่ยงอาหารเค็มๆ ดีกว่าค่ะ

“หวานจัด”
หลีกเลี่ยงอาหารเค็มไปแล้ว อาหารหวานก็ต้องระวังนะคะ เข้าหน้าร้อน เมนูของหวานก็มีมาให้เลือกมากมาย ไม่ว่าจะเป็นข้าวเหนียวมะม่วง หรือเมนูของหวานประจำหน้าร้อนอย่างๆ ไอศกรีม และ ขนมเค้กต่างๆ เมนูของหวานเหล่านี้เปี่ยมไปด้วยพลังงานทั้งนั้น แถมทานเข้าไปแล้วร่างกายก็จะร้อนรุ่มเพราะร่างกายต้องเผาผลาญพลังงานเหล่านี้ เราจึงรู้สึกไม่ค่อยสบายเนื้อสบายตัวจากข้างใน ทางที่ดีอาหารที่หวานมากๆ ควรจะงดไปในช่วงหน้าร้อนนะคะ

“มันๆ ทอดๆ “
ของทอดต่าง ๆ ไม่ว่าจะขนมกรุบกรอบ ไก่ทอด มันทอด การทานของเหล่านี้เข้าไปก็ไม่ต่างอะไรกับการสุมไฟในตัวหรอกค่ะ เพราะร่างกายได้รับน้ำมันที่มาจากการทอดอาหารเหล่านี้เข้าไปเต็มๆ ทำให้ร่างกายเราร้อน อีกทั้งยังมีผลตามมา ไม่ว่าจะเป็นอาการอักเสบผิวหนัง รวมไปถึงการสะสมในระบบไหลเวียนโลหิต จะยิ่งเป็นอันตรายต่อหัวใจอย่างมากด้วยล่ะค่ะ

“กำมะถัน”
อาหารบางอย่าง เช่น เนื้อแพะ เนื้อวัว หรือเนื้อแดงทั้งหลาย รวมทั้งหอมหัวใหญ่ กระเทียม และผลไม้บางประเภท เช่น ทุเรียน ลำไย ขนุน อาหารพวกนี้ทำให้ร่างกายของเราร้อนได้ง่าย เพราะมีกำมะถันอยู่เยอะค่ะ

“แอลกอฮอล์”
แอลกอฮอล์ช่วยเพิ่มอุณหภูมิให้ร่างกาย ลองดูนะคะเวลาที่เราจิบเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ เราจะรู้สึกร้อนวูบวาบใช่ไหมคะ ฤทธิ์ของแอลกอฮอล์จะทำให้เส้นเลือดขยาย เหมาะกับการดื่มในช่วงที่อากาศเย็นๆ แต่หากดื่มในช่วงที่อากาศร้อนๆ อาจมีผลให้เกิดอาการช็อกได้ นอกจากนั้นแอลกอฮอล์ยังมีผลทำให้ตับต้องทำงานหนักขึ้นอีกด้วยล่ะค่ะ

ไม่ได้ห้ามไปหมดเสียทุกอย่างนะคะ เมนูแนะนำที่เหมาะกับหน้าร้อนแบบนี้ก็มีค่ะ ส่วนจะมีเมนูอะไรบ้าง เชิญเลือกกันได้เลย

“ข้าวแช่”
ในข้าวแช่มีวิตาบีจากข้าว ยิ่งถ้าเป็นข้าวไม่ขัดสีก็จะยิ่งมีวิตาบีเยอะ ประกอบกับเครื่องเคียงที่ล้วนอุดมไปด้วยวิตามินเอ ดับร้อนดีนัก ทั้งวิตาบีเอและบี มีประโยชน์ช่วยทำให้ระบบประสาทสงบ และช่วยให้ผิวเย็นลงด้วย

“พริก”
อาจจะสงสัย ว่าทำไมพริกที่ดูเผ็ดร้อนจึงเหมาะกับการทานช่วงหน้าร้อน คำตอบก็คือ เพราะ แคปไซซิน (Capsaicin) หรือ สารที่ทำให้เผ็ดนั้น จะกระตุ้นให้ร่างกายหลังสารเอนดอร์ฟิน (Endorphin) ออกมา และสารนี้เองล่ะค่ะ ที่จะไปช่วยให้เส้นเลือดขยายตัว หัวใจของเราเต้นช้าลง ความดันลดลง เหมาะกับหน้าร้อนๆ เป็นอย่างยิ่ง

“ไลโคปีน”
ไลโคปีน (Lycopene) จะมีส่วนช่วยให้หลอดเลือดขยาย ระบบไหลเวียนของเลือดจะทำงานได้ดีขึ้น ช่วยในการขับไล่ความร้อนออกจากร่างกาย ไลโคปีนนี้มักจะอยู่ในผลไม้ฉ่ำน้ำอย่างเช่น แตงโม มะเขือเทศ มังคุด เป็นต้นค่ะ การทานผลไม้ที่มีไลโคปีนเหล่านี้ยังได้เส้นใยอาหารที่จะไปช่วยในการลดไขมันต่างๆ ซึ่งจะช่วยบรรเทาความร้อนจากภายในร่างกายของเรานั่นเองล่ะค่ะ

“น้ำดื่ม”
แน่นอนค่ะ ช่วงหน้าร้อนเราต้องเสียเหงื่อออกจากร่างกายกันมาก ดังนั้นร่างกายจึงต้องการน้ำมาทดแทนในส่วนที่เสียไป น้ำที่เหมาะกับช่วงหน้าร้อนก็คือนำอุณหภูมิปกตินี่หละค่ะ หรือถ้าร้อนมากหน่อยอาจจะดื่มน้ำเย็นช่วยลดอุณหภูมิร่างกายบ้างก็ได้

เอาล่ะ พอทราบกันบ้างแล้วนะคะ ว่าร้อนนี้ควรจะเลือกทานอาหารแบบไหนจึงจะช่วยคลายร้อน และถึงอุณหภูมิภายนอกจะสูงแค่ไหน แต่ทำกาย ทำใจให้เย็นไว้ก่อนก็จะช่วยได้เยอะเลยล่ะค่ะ

ผอมเกินไป อาจไม่ใช่เรื่องที่ดี

skin
โรคอ้วน และปัญหาไขมันส่วนเกิน ดูจะเป็นประเด็นยอดนิยมในสังคม ด้วยพฤติกรรมการบริโภค และการใช้ชีวิต โดยเฉพาะในสังคมเมือง ที่เอื้อให้เกิดภาวะอ้วนได้ง่ายกว่าในอดีต แต่ทราบกันหรือไม่คะ ว่าในอีกด้านหนึ่ง การผอมเกินไป ก็อาจทำให้เกิดภาวะเสี่ยงต่อสุขภาพได้ในหลายๆ ทางเลยทีเดียว

งานวิจัยหลายๆ ชิ้น บ่งชี้ถึงภาวะเสี่ยงต่อสุขภาพ ที่เกิดในผู้ที่มีน้ำหนักน้อยกว่าเกณฑ์มาตรฐาน ทั้งภาวะเสี่ยงต่ออาการกระดูกเปราะ หักง่าย (อ้างถึงรายงานของวารสาร The Archives of Internal Medicine) เนื่องจาก มีความหนาแน่นของกระดูกน้อย อีกทั้งด้วยปริมาณไขมันในร่างกายที่น้อย ทำให้มีการสร้างฮอร์โมนเอสโตรเจนที่มีส่วนช่วยให้กระดูกแข็งแรงได้น้อยตามไปด้วย ความเสี่ยงในผู้ที่มีน้ำหนักน้อยกว่าเกณฑ์ ยังรวมถึง ความเสี่ยงต่อ โรคโลหิตจาง โรคซึมเศร้า โรคปอด โรคไขข้ออักเสบ การเป็นหมันในชาย และความเสี่ยงต่อการแท้งบุตรในผู้หญิง อีกด้วยค่ะ (อ้างถึง รายงานจาก วิทยาลัยสุขอนามัย และเวชศาสตร์เขตร้อน ลอนดอน)

ผอมเกินไป ดูอย่างไร … มาดูกันเลย

การดูน้ำหนักที่เหมาะสม เราใช้การคำนวณค่า BMI (Body Mass Index) หรือ ดัชนีมวลกาย นั่นเองค่ะ โดยการนำ น้ำหนักตัว (ก.ก.) หารด้วยส่วนสูง ยกกำลังสอง (เมตร) โดยค่า BMI ที่เหมาะสม สำหรับชาวเอเซียร์อย่างเรา อยู่ระหว่าง  18.5-22.9 ใครที่มีค่า BMI น้อยกว่านั้น ถือว่ามีน้ำหนักต่ำกว่าเกณฑ์ค่ะ

เคล็ดลับการเพิ่มน้ำหนัก

คนผอมมักจะมีลำไส้ที่เล็กกว่าคนอ้วน ทำให้อิ่มได้ง่าย และร่างกายดูซับสารอาหารได้ในปริมาณที่น้อยกว่า อย่างแรกที่สามารถทำได้ ในการที่จะเพิ่มน้ำหนัก คือการทานอาหารในปริมาณที่น้อยลง แต่ทานให้บ่อยขึ้น วิธีนี้ จะช่วยให้ร่างกายดูดซับสารอาหารได้มาก และสม่ำเสมอขึ้น ทำให้สามารถนำสารอาหารไปเลี้ยงระบบต่างๆ ภายในร่างกายได้อย่างเต็มที่ค่ะ

อย่างที่สอง เคี้ยวอาหารให้นาน และละเอียดขึ้น เพราะการเคี้ยวอาหารให้ละเอียดขึ้น จะช่วยในการทำงานของระบบการย่อย และดูดซับสารอาหาร เนื่องจากอาหารชิ้นเล็ก จะถูกย่อยและดูดซับได้ง่ายขึ้น อีกทั้งอาหารบางประเภท เช่นแป้ง จะเริ่มต้นกระบวนการย่อยอาหารตั้งแต่อยู่ในปากค่ะ

อย่างที่สาม ทานอาหารให้ครบห้าหมู่ และเติมโปรตีนให้ร่างกาย สารอาหารที่ครบถ้วนเป็นสิ่งจำเป็น และการเติมโปรตีน จะช่วยให้ร่างกายสามารถซ่อมแซม และเสริมสร้างส่วนต่างๆ ภายในร่างกายได้ดีขึ้น

สุดท้าย นอกจากเรื่องของโภชนาการแล้ว สิ่งสำคัญคงหนีไม่พ้นการออกกำลังกาย ที่นอกจากจะช่วยให้เจริญอาหารมากขึ้นแล้ว ยังจะเป็นการช่วยสร้างกล้ามเนื้อ และช่วยให้ระบบต่างๆ ได้ทำงานอย่างเต็มที่ ช่วยให้ร่างกายแข็งแรงขึ้นพร้อมๆ กันอีกด้วยค่ะ

น้ำหนักเกิน ก็ไม่ดี น้ำหนักน้อย ก็ไม่ได้ดีไปกว่ากัน อะไรที่พอดีๆ ดูจะเป็นความลงตัวที่สุด วันนี้ อย่าลืมหันมาใส่ใจสุขภาพกันซักหน่อย เช็คกันซักนิด ว่าเรามีน้ำหนักเกิน หรือว่าน้อยกว่าเกณฑ์ที่เหมาะสมไปหรือเปล่า เริ่มดูแลตัวเองกันตั้งแต่วันนี้ แล้วเราจะมีสุขภาพดีๆ ไปพร้อมๆ กันค่ะ

เติมสุขภาพ เติมความสดชื่น

อากาศร้อนๆ นอกจากร่างกายจะสูญเสียน้ำไปกับเหงื่อ ทำให้ร่างกายอ่อนโรยได้ง่าย แล้ว การขาดน้ำในร่างกายยังมีผลต่อสุขภาพผิวของเราอีกด้วย วันนี้ เรามาทำความเข้าใจกันค่ะ ว่าน้ำจำเป็น มีความสำคัญต่อสุขภาพผิวของเราอย่างไรบ้าง

ร่างกายของเราประกอบด้วยน้ำถึง 70 เปอร์เซ็นต์ ทำให้น้ำมีความจำเป็นต่อระบบต่างๆ ของร่างกาย ทั้งระบบการหมุนเวียนของเลือด ระบบย่อยอาหาร ระบบการปรับอุณหภูมิของร่างกาย รวมไปถึงระบบการขับถ่ายของเสีย ร่างกายจึงจำเป็นต้องมีปริมาณน้ำที่เพียงพอ เพราะเมื่อใดก็ตามที่ร่างกายขาดน้ำไป นอกจากจะทำให้ระบบต่างๆ ในร่างกายแปรปรวนแล้ว ก็จะทำให้ผิวสวยๆ ขาดความชุ่มชื่น สดใส และเกิดอาการแพ้ได้ง่ายๆ อีกด้วย

ในส่วนของผิวหนังของเรานั้น เนื่องจากผิวหนังของเราประกอบไปด้วยชั้นของเซลล์หลายๆ ชั้น โดยชั้นบนสุดคือเซลล์ของผิวหนังที่ตายแล้ว ที่เรามักจะขัดถู โดยใช้สคลับเพื่อผลัดเซลล์ผิวที่ตายแล้วออก ซึ่งปกติผิวของเรานั้น ถ้าดูลึกลงไปในส่วนของเซลล์ จะพบว่ามีการเรียงตัวของเซลล์ในลักษณะยาวรีคล้ายใบไม้เรียงต่อกันเป็นตาข่าย โดยที่แต่ละเซลล์นั้นจะมีน้ำไปหล่อเลี้ยงตลอดเวลา ถ้าได้รับน้ำในปริมาณที่เพียงพอผิวจะดูสวย สดใส เพราะเมื่อแสงตกกระทบก็จะเกิดประกายที่ผิว อย่าที่เรามักเรียกกันว่า “ดูมีน้ำ มีนวล” แต่ถ้าเมื่อใดที่ผิวของเราขาดน้ำไปหล่อเลี้ยง เซลล์ผิวของเราจะเล็ก ฟีบลง ดูเหี่ยวแห้ง ไม่มีชีวิตชีวา และ นอกจากในส่วนของเซลผิวแล้ว ทั้งรอบๆ เซลล์ และในชั้นคอลลาเจน ก็ต้องการน้ำเพื่อความตึงตัวเช่นกัน จึงเป็นเหตุผลง่ายๆ ว่าทำไมผิวสวยๆ จึงไม่ควรขาดน้ำค่ะ

เซลล์ผิวที่ขาดน้ำ เมื่อเราลองสัมผัส ก็จะรู้สึกได้ทันทีว่าผิวจะหยาบ และกระด้าง ขาดความยืดหยุ่น จนบางครั้งถ้าผิวแห้งมากๆ อาจเกิดเป็นจุด หรือจ้ำแดงๆ และมีอาการแพ้ต่อสารเคมี หรือฝุ่นควันต่างๆ ได้อย่างง่ายดาย ที่สำคัญ อาจเริ่มมีปัญหาในการใช้เครื่องสำอาง ที่ไม่ใช่เพียงอาการแพ้ง่าย แต่เมื่อแต่งหน้าแล้ว ก็อาจทำให้เครื่องสำอางไม่ติด รองพื้นแล้วหน้าเป็นขุย หรือทาครีมแล้วครีมไม่ซึมลงสู่ผิว เนื่องจากผิวที่ขาดน้ำนั้นจะไม่ดูดซึมอะไรเลย และจะเริ่มแสดงอาการโทรม ใบหน้าอิดโรย ไม่สดใส ออกมาในที่สุด

ทางออกที่ง่ายที่สุดก็คือการเติมน้ำให้กับร่างกาย โดยดื่มน้ำอย่างน้อยวันละ 8 แก้ว และสำหรับช่วงเวลาที่ดีในการดื่มน้ำ ไล่ตามนี้เลยค่ะ
เวลาตื่นนอน ควรดื่มประมาณ 1 แก้ว เพื่อลดความเข้มข้นของเลีอด และกระตุ้นการทำงานของอวัยวะภายในให้ตื่นตัว
เวลาสายๆ หรือ 9-10 โมงเช้า ควรดื่มประมาณ 2 แก้ว เพื่อชำระของเสียออกจากร่างกาย
เวลาเที่ยงๆ หรือ ก่อนอาหาร 15 นาที ควรดื่มประมาณ ครึ่งแก้ว เพื่อช่วยให้ระบบการย่อยดีขึ้น แต่ถ้าใครอยากลดน้ำหนัก ลองเพิ่มปริมาณน้ำอีกซักนิด เป็น 1-2 แก้ว เพื่อจะได้อิ่มเร็วขึ้น
เวลาหลังอาหาร หลังจากมื้ออาหารประมาณ 40 นาที ควรดื่มน้ำประมาณครึ่งแก้ว เพื่อช่วยระบบย่อยอาหาร แต่ช่วงเวลานี้ไม่ควรดื่มน้ำเยอะเกินไป เพราะจะไปเจือจางน้ำย่อยในกระเพาะอาหาร ทำให้น้ำย่อยทำงานได้ไม่เต็มที่
เวลาก่อนนอน ควรดื่มน้ำประมาณ 1 แก้ว เพื่อช่วยหลีกเลี่ยงภาวะเส้นเลือดในสมองแตก หรือหัวใจวาย และช่วยชะล้างสิ่งตกค้างในลำไส้และกระเพาะอาหาร แต่ไม่ควรดื่มเกิน 1 แก้ว เพราะจะทำให้ไตทำงานหนักในระหว่างหลับ และตื่นมาปัสสาวะในช่วงกลางดึก เป็นสาเหตุทำให้นอนหลับไม่สนิท

ทั้งนี้ นอกจากการดื่มน้ำในปริมาณที่เพียงพอแล้ว การเลือกรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ การออกกำลังกายที่เหมาะสม และการพักผ่อนให้เพียงพอก็เป็นเรื่องสำคัญในการฟื้นฟู และซ่อมแซมเซลล์ผิวอีกด้วยค่ะ

อากาศร้อนๆ และแสงแดดแรงๆ ระยะนี้ ได้ความรู้เกี่ยวกับน้ำกันไปแล้ว อย่าลืมรีบไปเติมน้ำให้ร่างกายกันด้วยนะคะ

ดอกกุหลาบ แทนความในใจ

7-31_History-Meaning-of-Red-Roses_MainHero-1024x549.png
เทศกาลวันแห่งความรัก คงเป็นไปไม่ได้ หากจะไม่นึกถึงความรักระหว่างหนุ่มสาว กับการบอกรักผ่านช่อดอกไม้สวยๆ แทนความในใจ และดอกไม้ยอดนิยมในเทศกาลนี้ ก็คงหนีไม่พ้นดอกกุหลาบที่มักจะถูกเลือกมาสื่อความในใจกันเป็นประจำ

ลองมาดูกันซักหน่อยดีกว่าค่ะ ว่ากุหลาบแต่ละสี มีความหมายอะไรซ่อนอยู่บ้าง เริ่มต้นที่สีแรก เป็นสียอดนิยมเลยทีเดียว กุหลาบแดง หมายถึงความรัก ความสวยงาม และความสำเร็จ จึงมักมีการใช้กุหลาบแดงเพื่อแทนความหมายว่า “ฉันรักเธอ” เป็นการแสดงความรู้สึกอย่างจริงจังและลึกซึ้ง สำหรับ กุหลาบขาว เป็นการสื่อถึงความรักอันบริสุทธิ์ ความหวังดี มิตรภาพที่สวยงาม โดยไม่ต้องการสิ่งใดเป็นการตอบแทน รวมถึงการเริ่มต้น การแต่งงาน และสร้างครอบครัว ในขณะที่ กุหลาบชมพู สื่อถึงความสุข ความคาดหวัง เป็นการแสดงถึงการเริ่มต้นความรักที่กำลังจะสานต่อไปเป็นความรักที่มั่นคงยาวนาน บางครั้งหมายถึงการแอบรัก และความรักแบบโรแมนติก ส่วนดอกกุหลาบสีเหลือง มักใช้แทนความห่วงใย ความสุข มิตรภาพ รวมไปถึงคำมั่นสัญญาที่มีต่อกัน อาจสื่อถึงความรักแบบเพื่อน และ กุหลาบลาเวนเดอร์ หรือกุหลาบสีม่วง สื่อความหมายถึงความประทับใจเมื่อแรกเห็น หรือการตกหลุมรักตั้งแต่แรกพบค่ะ

หนุ่มๆ จะเลือกดอกกุหลาบสีไหนให้กับสาวๆ คงพอมีแนวทางกันแล้ว แต่แถมให้อีกนิดค่ะ กับจำนวนดอกกุหลาบที่เลือกให้ ก็เพราะจำนวนดอก ยังแอบมีความหมายที่ซ่อนอยู่กันอีกด้วย มาดูความหมายที่ซ่อนอยู่ ที่ฝรั่งเค้านิยามกันเอาไว้ซักหน่อย

ดอกกุหลาบ 1 ดอก – You’re the only one in my heart or Love at first sight
ดอกกุหลาบ 2 ดอก – There will only be the two of us, you and me
ดอกกุหลาบ 3 ดอก – I Love You
ดอกกุหลาบ 5 ดอก – Love with no regret, I wanna be yours
ดอกกุหลาบ 9 ดอก – Love forever, Eternity และ
ดอกกุหลาบ 11 ดอก – Love you most, You’re my treasure

เอาล่ะค่ะ ได้ความหมายกันไปครบถ้วนแล้ว กับเรื่องของดอกไม้สำหรับวันแห่งความรัก ใครที่มีคนพิเศษที่อยากจะสื่อความในใจ ยังพอมีเวลา รีบไปเลือกดอกไม้กันได้แล้วล่ะค่ะ ^^

สาหร่ายพวงองุ่น คุณค่าจากท้องทะเล

sea grape 3

สาหร่ายพวงองุ่น สาหร่ายสีเขียว (green algae) ที่มีชื่อสามัญว่า sea grape เนื่องจากมีเม็ดกลมร้อยเป็นพวง ลักษณะคล้ายองุ่น ในบางครั้ง อาจถูกเรียกว่าไข่คาเวียร์สีเขียว หรือ green caviar ด้วยลักษณะที่คล้ายกันอีกด้วย สำหรับสาหร่ายที่มีลักษณะคล้ายกันอีกประเภทหนึ่ง คือสาหร่ายเม็ดพริกไทย หรือสาหร่ายช่อพริกไทย หากแต่สาหร่ายชนิดดังกล่าวจะมีเม็ดที่ใหญ่กว่าเล็กน้อย มีสีขุ่น และมีรสฝาดเล็กน้อย จึงไม่เป็นที่นิยมเท่ากับสาหร่ายพวงองุ่น
สาหร่ายพวงน้อยๆ ที่มีสีเขียวใส ราวกับอัญมณีเม็ดเล็กๆ ที่เรียงร้อยเป็นพวงชนิดนี้ ที่บางครั้งดูว่าจะสวยเกินกว่าจะนำมาปรุงเป็นอาหารจานอร่อยเสียด้วยซ้ำ ไม่ได้มีดีแค่หน้าตา และสีสัน ทว่าเต็มไปด้วยคุณค่าทางอาหาร และคุณประโยชน์ต่อร่างกายของเราทั้งสำหรับผู้ที่ป่วยเป็นโรคเบาหวาน โรคที่เกี่ยวกับความดันโลหิต และโรคหัวใจอีกด้วยค่ะ
แต่ก่อนจะไปอร่อยกัน มาดูกันซักหน่อย ว่าคุณค่าทางอาหารของเจ้าสาหร่ายแสนสวยชนิดนี้ มีอะไรบ้าง

องค์ประกอบทางเคมี (หน่วยมิลลิกรัม/ 100 กรัมน้ำหนักแห้ง)

– โปรตีน 12.49
– ไขมัน 0.86
– เยื่อใย 3.17
– เถ้า 24.2
– คาร์โบไฮเดรต 59.27
– ความชื้น 25.31

เกลือแร่ มิลลิกรัม/100 กรัม น้ำหนักแห้ง

– ฟอสฟอรัส 1030
– โปแตสเซียม 970
– แคลเซียม 780
– แมกนีเซียม 630
– สังกะสี 2.6
– แมงกานีส 7.9
– เหล็ก 9.3
– ทองแดง 2,200 (ไมโครกรัม/100 กรัมน้ำหนักแห้ง)
– ไอโอดีน 1,424 (ไมโครกรัม/100 กรัมน้ำหนักแห้ง)

วิตามิน (มิลลิกรัม /100 กรัมน้ำหนักสด)

– E 2.22
– C 1.00
– Thiamin 0.05
– Riboflavin 0.02
– Niacin 1.09

นอกจากนั้น สาหร่ายพวงองุ่น ยังมีกรดอะมิโนจำเป็นเกือบ 40% ของกรดอะมิโนรวม และมีกรดอะมิโนชนิด aspartic (กรดอะมิโน ที่ช่วยให้ร่างกายมีความต้านทานต่อความอ่อนล้า) และ glutamic (ทำหน้าที่เป็นสารสื่อประสาทที่ออกฤทธิ์แบบกระตุ้น มีบทบาทสำคัญในกระบวนการเรียนรู้และจดจำของสมอง ) สูงประมาณ 25% ของปริมาณกรดอะมิโนทั้งหมดเลยล่ะค่ะ

สาหร่ายพวงองุ่น เป็นสาหร่ายตามธรรมชาติที่พบได้มากในทะเลบริเวณที่มีแนวประการัง เนื่องจากรากจะยึดเกาะกับหิน หรือประการัง ก่อนจะทอดตัวยาวเป็นสาย ขยายพันธุ์จนเป็นกลุ่มอยู่รอบๆ พื้นที่ พบได้มากในทะเลของประเทศ อินโดนิเซีย  ฟิลลิปปินส์ เวียดนาม และญี่ปุ่น โดยแต่ละพื้นที่ก็จะมีวิธีนำไปประกอบอาหารต่างๆ กันออกไป ทั้งการทานเป็นผักเคียงกับอาหารท้องถิ่น ทานคู่กับน้ำจิ้มและบ่อยครั้ง หรือนำไปเป็นส่วนประกอบของเมนูอาหารญี่ปุ่นหลายๆ เมนู

สาหร่ายพวงองุ่น เป็นสาหร่ายที่สามารถทานได้สดๆ นอกจากจะได้คุณค่า และความสดของสาหร่ายแล้ว การปรุงด้วยความร้อน หรือการผสมรวมกับส่วนผสมอื่นๆ ทิ้งไว้ จะทำให้เม็ดสาหร่ายฝ่อ และคายน้ำออก หมดความอร่อยกันเลยค่ะ

เอาล่ะค่ะ รู้จักกับสาหร่ายพวงองุ่นกันพอสมควรแล้ว มาดูกันค่ะ ว่าเราจะเตรียมสาหร่ายก่อนทานกันอย่างไรดี
การเตรียมสาหร่ายก่อนทาน มีขั้นตอนง่ายๆ ค่ะ เพียงนำสาหร่าย ไปจุ่มล้างในน้ำปกติ เพื่อทำความสะอาด และลดความเค็มจากน้ำทะเล ขั้นตอนนี้ อย่าแช่น้ำทิ้งไว้นะคะ เพราะสาหร่ายชนิดนี้ไม่มีความทนต่อน้ำจืด จะทำให้เม็ดฝ่อและแตกได้ ควรใช้วิธีล้างผ่านน้ำเร็วๆ ซักสองครั้งก็เพียงพอค่ะ
จากนั้น เพื่อเพิ่มความกรอบอร่อย ให้นำสาหร่าย ไปแช่ในน้ำเย็น ประมาณ 1 นาที แล้วนำขึ้น พักไว้ เตรียมรับประทานได้เลย

sea grape

ส่วนสุดท้าย ขึ้นอยู่กับความชอบเลยค่ะ จะนำสาหร่าย ไปทานคู่กับน้ำจิ้มซีฟู้ด หรือเป็นเครื่องเคียงกับเมนูยำ ส้มตำ หรือ ใส่ในสลัดตามปกติก็อร่อยไม่แพ้กันค่ะ แต่ที่เป็นที่นิยมมากๆ คงเป็นการทานคู่กับน้ำยำ ประเภทยำมะม่วงค่ะ เพียงตำพริก กระเทียม ใส่น้ำตาลมะพร้าว น้ำปลา เติมน้ำสต๊อกเล็กน้อย แล้วคลุกรวมกับมะม่วงดิบ หอมแดงซอย แล้วโรยด้วยถั่วลิสงคั่ว แค่นี้ก็เป็นอันเรียบร้อย
เวลาทาน ให้ตักสาหร่าย แล้วเติมน้ำยำเป็นคำๆ นะคะ ถ้าคลุกรวม จะเก็บไว้ได้ไม่นาน สาหร่ายจะฝ่อและคายน้ำค่ะ

เป็นอย่างไรกันบ้างคะ เมนูสุขภาพ ที่มากด้วยคุณค่าจากท้องทะเล ที่ทำทานกันได้ไม่ยากเลย แถมเดี๋ยวนี้ ไม่ต้องเดินทางกันไปไกลๆ ถึงทางใต้เพื่อหาซื้อกันแล้ว ซูเปอร์มาร์เก็ตหลายๆ แห่ง รวมถึงร้านค้าตามตลาดหลายๆ แห่งเริ่มมีการนำมาขายให้ได้อร่อยกันถึงที่แล้วด้วย

เย็นนี้ ใครที่ยังไม่มีเมนูในใจ ลองทานสาหร่ายพวงองุ่นกันดูนะคะ รับประกันว่าทั้งอร่อย และได้คุณค่าทางอาหารอีกมากมายเลยล่ะค่ะ ^^

———-
ขอบคุณภาพ จาก -supplychainvn.com-

รู้จักกับ ‘ข้าว’ แต่ละชนิด

rice
ทุกวันนี้ ถ้าไปเดินซื้อของ พอถึงชั้นขายข้าว เราก็จะเจอกับข้าวหลากหลายสายพันธุ์ ทั้งสีสันก็สวยงาม จนเลือกกันไม่ถูก ผิดกับสมัยก่อน ที่มีให้เลือกเพียงข้าวขาว ข้าวหอมมะลิ เมล็ดหักกี่เปอร์เซนต์ ปลายข้าว หรือข้าวร้อยเปอร์เซนต์ พอมีให้เลือกมากขนาดนี้ แล้วจะเลือกข้าวอะไรดี แต่ละชนิดมีประโยชน์ต่างกันอย่างไร … วันนี้เรามีความรู้ดีๆ เกี่ยวกับเรื่องข้าวมาฝากกันค่ะ

เริ่มกันที่ ข้าวกล้อง ผลผลิตจากข้าวเปลือก ที่นำไปสีเอาเปลือกแข็งๆ ออก ข้าวที่ได้จากการสีข้าวครั้งแรกนี้ล่ะค่ะ คือข้าวกล้อง หรือที่บางครั้งเราเรียกว่าข้าวซ้อมมือ เราจะเห็นว่าข้าวกล้องมีทั้งสีแดง สีน้ำตาล หรือสีเหลืองนวล บางครั้งก็มีเมล็ดยาว บางครั้งก็มีเมล็ดสั้น เหล่านี้เรียกรวมๆ ว่าข้าวกล้องเหมือนกันทั้งหมด เพราะผ่านการสีเพียงครั้งเดียว ยกตัวอย่างเช่น ข้าวหอมมะลิถ้าผ่านการสีเพียงครั้งเดียวก็จะเรียกว่า ข้าวกล้องหอมมะลิค่ะ วิธีสังเกตง่ายๆ ปลายข้าวจะยังเต็มเมล็ด ไม่มีรอยบุ๋ม และที่เมล็ดข้าวจะมีรำข้าวเหลืออยู่ด้วย ส่วนนี้ล่ะค่ะที่อุดมไปด้วยประโยชน์ ทั้งโปรตีน สารอาหาร วิตามิน และไฟเบอร์

ข้าวสาร หรือ ข้าวขาว ได้จากการนำข้าวกล้องกลับไปสีอีกรอบ ทำให้ทั้งเปลือก รำข้าว และจมูกข้าวหลุดออกไป สังเกตว่าจะมีรอยบุ๋มที่ปลายเมล็ด สีจนได้ข้าวที่ขาวสวย เมล็ดเรียวยาว แต่ก็พลอยทำให้สารอาหารหลายๆ อย่างหลุดออกไปด้วย อย่างไรก็ตาม ด้วยคุณสมบัติของข้าวก็ยังคงจะอุดมไปด้วยโปรตีน และคาร์โบไฮเดรต แหล่งพลังงานที่สำคัญต่อร่างกาย นอกจากนั้นยังมีเส้นใยอาหารที่ดีต่อระบบการขับถ่าย ป้องกันการเกิดท้องผูก รวมทั้งมีแร่ธาตุ และวิตามิน ต่างๆ เช่น ไนอาซีน ที่ช่วยรักษาผิวหนัง วิตามินบี ที่ช่วยบำรุงระบบประสาท และ ธาตุเหล็กที่ช่วยสร้างเม็ดเลือด ช่วยป้องกันการเป็นโรคโลหิตจางอีกด้วย

ข้าวแดง ข้าวชนิดนี้สีสดสวยกว่าใครเพื่อน และเป็นข้าวพันธุ์พิเศษ เปลือก และตัวเมล็ดจะเป็นสีแดง พบได้ทั้งในประเทศไทย และในต่างประเทศ อย่างเช่น ประเทศภูฏาน หรือแม้แต่ในประเทศฝรั่งเศส ประโยชน์ก็มาก มีทั้งวิตามินบี 1 ที่ช่วยป้องกันการเป็นเหน็บชา วิตามินบี 2 ที่ช่วยป้องโรคปากนกกระจอก และวิตามินบี 6 ที่ช่วยป้องกันการเป็นโรคเกี่ยวกับผิวหนังต่างๆ

ข้าวสีนิล หรือ บางครั้งก็เรียกกันว่า Rice berry ข้าวชนิดนี้เป็นข้าวพันธุ์พิเศษเช่นเดียวกับข้าวแดง มีทั้งแบบเป็นข้าวเหนียว และข้าวเจ้า มีทั้งของไทย อินโดนีเซีย และจีน ข้าวชนิดนี้มีสาร anthocyanin เป็นจำนวนมาก สีจึงเข้มกว่าข้าวแดง นอกจากนั้นข้าวชนิดนี้ยังมีทั้งธาตุเหล็ก และ สารต้านอนุมูลอิสระมากกว่าข้าวทั่วไปถึง 7 เท่าเลยทีเดียว จึงมีส่วนช่วยลดความเสี่ยงของการเกิดโรคมะเร็งอีกด้วยค่ะ นอกจากนั้นใยอาหาร และแร่ธาตุที่อยู่ในข้าวสีนิลนั้นยังมีส่วนช่วยลดน้ำตาลที่อยู่ในเลือด ช่วยทำให้ผมดกดำ รากผมแข็งแรง บำรุงระบบการทำงานของสมอง ตับ ปอด เพิ่มภูมิคุ้มกัน บำรุงสายตา บำรุงกระดูกไม่ให้กระดูกเสื่อม ทำให้กล้ามเนื้อยืดขยายได้ดี ป้องกันการเกิดโรคเหน็บชา ลดคลอเรสเตอรอลในเลือด ช่วยให้ระบบการขับถ่ายเป็นปกติ และยังช่วยซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอเป็นอย่างดี เนื่องจากมีวิตามิน และโปรตีนในปริมาณที่สูงมาก

นำมาฝากกันอีกซักหน่อย กับ ข้าวดอย ข้าวชนิดนี้มีวิตามินบี 1 มากกว่าข้าวขาวถึง 371 เท่าเลยทีเดียว และยังเป็นแหล่งอาหารที่มีสารอาหารที่เป็นประโยชน์กับร่างกายไม่ต่ำกว่า 15 ชนิด อย่างเช่น วิตามินประเภทต่างๆ โปรตีน ไขมัน และเกลือแร่ที่จะช่วยบำรุงร่างกายให้เจริญเติบโตและแข็งแรงยิ่งขึ้น

เป็นอย่างไรกันบ้าง ได้รู้เรื่องของข้าวกันมากขึ้น คราวนี้ ไปเดินเลือกซื้อข้าวกันครั้งหน้า คงจะมีตัวเลือกในใจกันบ้างแล้วนะคะ ^^

ชะลอวัย ง่ายๆ กับเมนูใกล้ตัว


ไม่ว่าใครก็ไม่อยากปล่อยให้ตัวเองดูแก่กว่าวัย แล้วเรื่องไม่ยอมแก่นี่ล่ะค่ะ คงจะต้องยกให้สาวๆ กันเลย ก็ไม่ว่าสาวคนไหนก็อยากที่อยากจะดูสาว ดูสวยอยู่ตลอดเวลา ไม่ยอมแพ้ให้กับตัวเลขของวัยที่เพิ่มขึ้นมาในทุกขณะ แม้ว่าหลายๆ ครั้ง อายุอาจจะขึ้นเลขหลายหลักกันไปแล้วก็ตาม  แต่จะทำอย่างไรดี เมื่อสภาพร่างกายเปลี่ยนไปตามวันเวลา และริ้วรอยต่างๆ เริ่มถามหา นี้เรามีความรู้ดีๆ เกี่ยวกับการเลือกทานอาหารที่จะช่วยหยุดความสวย ชะลอความเสื่อมของร่างกายให้อยู่กับเราแบบแข็งแรงๆ นานๆ มาฝากกันค่ะ

หยุดผิวเหี่ยวย่น
เมื่ออายุเพิ่มขึ้น น้ำหล่อเลี้ยงผิวก็ลดลง ทำให้ผิวไม่เต่งตึงเหมือนดังก่อน “เต้าหู้” ขาวๆ อวบๆ นี่ล่ะค่ะช่วยได้ เพราะเต้าหู้มีฮอร์โมนเอสโตรเจน ซึ่งเป็นฮอร์โมนเพศหญิง มีส่วนช่วยทำให้ผิวเนียนนุ่ม ผิวพรรณผ่องใส ช่วยหยุดยั้งผิวที่ซีดเซียว เหี่ยวแห้งให้กลับมามีชีวิตชีวาอีกครั้ง

หยุดผมขาวไม่น่ามอง
ผมที่ค่อยๆ เปลี่ยนสีไปทีละเส้น อาจเป็นปัญหาที่คอยบั่นทอนความมั่นใจของคุณสาวๆ การย้อมผมอาจเป็นตัวช่วยหนึ่ง แต่อีกทางเลือกหนึ่งที่ดีไม่แพ้กันคือ การรับประทาน “วอลนัท” เพราะวอลนัทอุดมไปด้วย ทองแดง และทองแดงนี้จะช่วยคงสภาพสีผมของคุณไม่ให้เปลี่ยนสีก่อนวัยอันควร

หยุดสายตาฝ้าฟาง
ปัญหาเรื่องสายตาเป็นปัญหาอันดับต้นๆ เลยนะคะ สำหรับผู้ที่มีอายุเพิ่มขึ้น ซึ่งการดูแลรักษาดวงตานั้นเราควรเริ่มทำตั้งแต่วันนี้ ลองเลือกผลไม้ที่มีประโยชน์ตามนี้ค่ะ ผลไม้ที่จะช่วยบำรุงสายตาได้แก่ผลไม้ในตระกูลเบอรี่ โดยเฉพาะ “บลูเบอรี่” ค่ะ เพราะผลสีม่วงๆ ของบลูเบอรี่จะมีแอนโทไซยานิน (anthocyanin) อยู่ และสารนี้เองล่ะค่ะที่ช่วยในเรื่องของการมองเห็น หรือจะเลือกทานคู่กันกับ “แอปริคอท” ก็ได้ เพราะในแอปริคอทนั้นอุดมไปด้วยสารเบตาแคโรทีน ที่ช่วยชะลอการเสื่อมถอยของเลนส์ตาค่ะ

หยุดอาการหลงๆ ลืมๆ
เดี๋ยวลืมโน่น ลืมนี้ ขนาดแว่นที่กำลังใส่อยู่ยังลืมได้… ส่วนหนึ่งเป็นเพราะเซลล์สมองเสื่อมถอยไปตามกาลเวลา แต่เราสามารถยืดอายุสมองให้ยาวนานได้ด้วยการรับประทาน “มะเขือม่วง” เพราะในเปลือกของมะเขือม่วงอุดมไปด้วยนาซูนิน (nasunin) สารที่มีคุณสมบัติในการช่วยปกป้องเซลล์สมองของเราจากการถูกทำลาย เพื่อคงความปราดเปรื่องของสมองเราไว้ค่ะ

เมนูง่ายๆ ใกล้ๆ ตัว หาทานได้ทั่วไปแบบนี้ล่ะค่ะ ที่ช่วยคงความอ่อนเยาว์ของทั้งผิว ผม สายตา รวมทั้งสมองของเราให้อ่อนเยาว์ และมีอายุยืนยาว
วันนี้ ได้ความรู้ดีๆ กันแล้ว อย่าลืมนำไปใช้กันด้วยนะคะ

เอสโตรเจน ฮอร์โมนของความสดใส


ฮอร์โมน เอสโตรเจน Estrogen เป็นฮอร์โมนสำคัญโดยเฉพาะสำหรับผู้หญิงทุกคน เพราะเป็นฮอร์โมนที่ช่วยให้ร่างกาย และเนื้อเยื่อต่างๆ มีความแข็งแรง แสดงให้เห็นถึงความเป็นผู้หญิงที่สมบูรณ์ เช่น มีการขยายของหน้าอก มากขึ้น ผิวพรรณดูเต่งตึง สดใส มีน้ำมี นวล เซลล์ต่างๆ เสื่อมสภาพช้าลง และช่วยให้กระดูกคงสภาพที่แข็งแรง นอกจากนั้น เอสโตรเจน ยังมีผลต่ออวัยวะภายในของเราทุกระบบ ทั้งในส่วนของสมอง ที่ช่วยในเรื่องความจำ กระตุ้นให้เกิดความเจริญเติบโตเมื่อเข้าสู่วัยสาว และ ควบคุมการสร้างคอเลสเตอรอล ที่จะช่วยลดความเสี่ยงต่อการเกิดไขมันอุดตันในเส้นเลือด

อย่างไรก็ตาม เมื่ออายุมากขึ้นร่างกายจะผลิตฮอร์โมนเอสโตรเจน ในปริมาณที่น้อยลง ซึ่งอาจส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทั้งทางร่างกาย และอารมณ์ เป็นภาวะที่เรามักเรียกกันว่า “วัยทอง” ซึ่งเป็นได้ทั้งในผู้ชาย และผู้หญิง ทว่าสำหรับผู้หญิงแล้ว ระดับของฮอร์โมนเอสโตรเจนจะลดลงเร็วกว่าผู้ชาย ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงที่ชัดกว่า และมักจะเกิดในช่วงวัยที่เร็วกว่า โดยผลจากการลดลงของฮอร์โมนเอสโตรเจน อาจส่งผลให้มีอาการต่างๆ ได้แก่ ในผู้หญิง อาจมีประจำเดือนมาน้อย และไม่สม่ำเสมอ มีอาการร้อนวูบตามร่างกาย  ใจสั่น เหนื่อยง่าย มีเหงื่อออกมากในช่วงกลางคืน หรือมีอาการหนาวสั่นโดยไม่มีสาเหตุ และนอนหลับได้ยาก นอกจากนั้น อาจมีอาการปวดเมื่อยตามข้อ และกระดูก ปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ ทั้งยังอาจมีภาวะกระดูกบาง เปราะ และเสี่ยงต่อการกระดูกหักได้ง่ายเมื่อหกล้ม
การลดลงของฮอร์โมนเอสโตรเจน ยังจะส่งผลต่อผิวพรรณ โดยผิวหนังจะบางลง แห้ง เกิดเป็นแผล และผื่นแพ้ได้ง่าย ทั้งเส้นผม อาจจะบางลง หลุดร่วงได้ง่าย และหยาบ แห้ง ไม่เป็นเงางามเช่นเคยอีกด้วยค่ะ ที่สำคัญ การขาดฮอร์โมนเอสโตรเจน ยังจะมีผลต่ออารมณ์ ทำให้เกิดภาวะเครียด ใจร้อน หงุดหงิดได้ง่ายโดยไม่มีสาเหตุ ควบคุมอารมณ์และความรู้สึกได้ยาก และในบางรายอาจเกิดภาวะซึมเศร้า วิงเวียนศีรษะ หรือหลงลืมได้อีกด้วย

ทราบถึงความสำคัญของฮอร์โมนเอสโตรเจนกันแล้ว หลายๆ คนอาจจะกังวล ว่าแล้วเราควรจะทำอย่างไรได้บ้างเพื่อรักษาระดับของฮอร์โมนในร่างกายให้คงความสมดุล บางคนอาจจะเลือกปรึกษาแพทย์ และรับฮอร์โมนทดแทน ซึ่งกรณีนี้แนะนำว่าควรใช้ตามความจำเป็น และอยู่ภายใต้การดูแลของแพทย์เท่านั้น ซึ่งก็อาจส่งผลต่อการเกิดอาการข้างเคียง เช่น มีน้ำหนักตัวเพิ่มขึ้น มีอาการปวดศีรษะไมเกรน หรือมีเลือดออกทางช่องคลอดในช่วงแรกที่รับฮอร์โมนทดแทนได้

สำหรับกรณีที่ไม่ได้มีปัญหาอย่างรุนแรง การรักษาสมดุลของฮอร์โมนในร่างกาย อาจทำได้ด้วยการดูแลด้านโภชนาการ โดยเลือกทานอาหารที่มีฮอร์โมนเอสโตรเจนตามธรรมชาติเพื่อชดเชยปริมาณฮอร์โมนที่ลดลงได้ค่ะ ลองมาดูกัน ว่าอาหารประเภทใดบ้างที่ให้ฮอร์โมนเอสโตรเจนได้บ้าง

อย่างแรกเลย น้ำมะพร้าว ในน้ำมะพร้าวมีฮอร์โมนเอสโตรเจน ซึ่งมีส่วนสำคัญต่อการสร้างคอลลาเจน และอีลาสติน ที่จะช่วยให้ผิวมีความยืดหยุ่น ชะลอการเกิดริ้วรอยก่อนวัย อีกทั้งยังมีฤทธิ์ช่วยขับปัสสาวะ ขับของเสียหรือสารพิษออกจากร่างกายอีกด้วย
ต่อมาเป็นลูกพรุน เนื่องจากในลูกพรุนมีสารไฟโตเอสโตรเจน ออกฤทธิ์คล้ายฮอร์โมนเพศหญิงทั้งยังเต็มไปด้วยไฟเบอร์ ที่จะช่วยในระบบขับถ่าย และช่วยในการปรับสมดุลของระดับน้ำตาลในเลือด
นอกจากนั้น ยังมี แครอท ซึ่งมีสารลิกแนน จัดเป็นโฟโตเอสโตรเจนชนิดหนึ่งที่ออกฤทธิ์คล้ายฮอร์โมนเอสโตรเจนในร่างกาย รวมถึงธัญพืช ถั่วชนิดต่างๆ และผลิตภัณฑ์จากถั่ว เช่น เต้าหู้ น้ำเต้าหู้ ที่ต่างก็มีโฟโตเอสโตรเจน ที่จะช่วยปรับสมดุลฮอร์โมนเพศหญิงได้ สาวๆ ที่เริ่มมีอายุมากขึ้น อาจเลือกทานอาหารที่มีฮอร์โมนตามธรรมชาติเหล่านี้เพื่อช่วยชดเชยการลดลงของฮอร์โมนได้เช่นกันค่ะ

หน้าหนาวกับแสงแดดแรงๆ .. มาเลือกครีมกันแดดกันซักหน่อย


หน้าหนาวมาแล้วค่ะ ลมเย็นๆ เริ่มผ่านมาทักทายกันยาวๆ แล้ว น่าจะถูกใจหลายๆ คนที่รอคอยกันมาทั้งปีเลยทีเดียว แต่หน้าหนาว สิ่งที่ตามมานอกจากผิวแห้งๆ แล้ว คงหนีไม่พ้นแดดแรงๆ ที่พร้อมจะทำร้ายผิวสวยๆ กันได้ตลอดเวลาเลยล่ะค่ะ
แดดแรงๆ ในช่วงหน้าหนาว สาวๆ อย่าลืมหาตัวช่วยไว้บ้างนะคะ ไม่ว่าจะเป็นแว่นกันแดด หมวก ร่ม พกกันให้ครบทีเดียว แต่ที่ห้ามลืมเด็ดขาดเลยคือการทาครีมกันแดดเป็นประจำค่ะ

สาวๆ คงมีครีมกันแดดที่ใช้ประจำกันอยู่แล้ว แต่ครีมกันแดดก็มีคอลเลคชั่นใหม่ๆออกมาเรื่อยๆ แล้วทีนี้จะเลือกกันยังไงดี…
วันนี้เรามีคำแนะนำดีๆ มาฝากกันค่ะ

ก่อนอื่น ลองเชคสภาพผิวตัวเองก่อนสักนิดว่ามีลักษณะผิวแบบไหน และมีแอคทิวิตี้อย่างไรกันบ้าง

สำหรับสาวๆ ที่ผิวแข็งแรง ชอบกิจกรรมกลางแจ้ง ครีมกันแดดที่เหมาะควรเป็นชนิดครีมค่ะ เพราะเนื้อครีมจะเกาะผิวได้ดี ติดแน่น เวลามีกิจกรรมที่เหงื่อออกมากๆ ครีมก็ยังช่วยปกป้องดูแลผิวเราได้ดีอยู่

สำหรับสาวๆ ผิวบอบบาง เป็นสิวง่าย โดยเฉพาะสิวอุดตันควรเลือกครีมกันแดดชนิดเจล ชนิดน้ำ ที่บางเบากว่าเนื้อครีม แต่สำหรับชนิดนี้สาวๆ ต้องทาซ้ำบ่อยสักนิดเพราะจะได้ปกป้องผิวจากแดดได้ตลอดวันค่ะ

สำหรับหน้าหนาวอากาศแห้ง ที่มากับแสงแดดแรงๆ อาจจะเลือกใช้ครีมแบบเนื้อออยล์ ที่มีน้ำมันผสมเยอะหน่อย เผื่อเพิ่มตวามชุ่มชื้นให้ผิว แต่หลายๆ คนอาจจะไม่ค่อยชอบ เพราะอาจจะทำให้รู้สึกเหอะหนะไม่สบายผิว แถมจะนำสิวมาด้วยนี่สิคะ

เลือกเนื้อครัมที่เหมาะกับผิวได้แล้วก็อย่าเพิ่งประมาทนะคะ เพราะสาวๆ อาจจะนึกว่า เลือกครีมที่มี SPF 50 แล้วจะปกป้องผิวอยู่ได้ทั้งวัน แต่จริงๆ แล้ว ค่า SPF 50 นั้นจะปกป้องผิวได้ประมาณ 500 นาที หรือ 8 ชั่วโมงเท่านั้นค่ะ

อีกเรื่องที่สาวๆ ต้องให้ความสำคัญก็คือ วิธีการทาครีมกันแดดค่ะ ปริมาณที่เหมาะสมคือเหรียญ 50 สตางค์ แต้ม 5 จุด คือ หน้าผาก แก้มซ้ายแก้มขวา จมูก คาง แล้วเกลี่ยให้เสมอกัน อย่าทาบางๆ นะคะ เพราะครีมจะไม่ช่วยปกป้องผิวได้จริง ทาก่อนออกจากบ้านสัก 20 นาทีด้วยค่ะ

การป้องกันผิวสู้แดดร้อนอย่างบ้านเราทำไม่อยากเลยนะคะ แต่ถ้าละเลยแล้วผิวเหี่ยวย่น หน้าเลยอายุไปนี่กลับมาแก้ยากกว่าการป้องกันเยอะเลย ดูแลผิวสวยๆ ของเราให้สดใสแข็งแรงย่อมดีที่สุดค่ะ