สถานการณ์ไวรัส Covid-19 ยังคงระบาดอย่างต่อเนื่อง ล่าสุดตอนนี้ประเทศไทยมีจำนวนผู้ติดชื้ออยู่ที่ 1,388 คน (ข้อมูลอัพเดตล่าสุดเมื่อวันที่ 29 มีนาคม 2563) ซึ่งในหลายคนพอเริ่มมีอาการเจ็บป่วย มีไข้ ไอ เจ็บคอ อาจกำลังวิตกกังวลว่าตัวเราเป็น “ไข้หวัดธรรมดา” หรือติด “ไวรัส COVID-19” กันแน่ วันนี้ มาดูกันค่ะ ว่าอาการของไข้หวัดธรรมดา กับ อาการของ Covid-19 ต่างกันอย่างไรบ้าง
ไข้หวัดธรรมดา มักเกิดจากเชื้อไวรัสไรโนไวรัส (Rhinovirus) 30-80% เป็นไวรัสที่ทำให้เกิดโรคกับจมูก คือหวัดธรรมดา และไวรัสอีกชนิดที่เป็นสาเหตุของไข้หวัดคือ โคโรนาไวรัส (Coronavirus) 10-15% แต่เป็นไวรัสโคโรนาที่ค้นพบ และมีมานานแล้ว โดยมีการพบเชื้อไวรัสโคโรนาที่ติดต่อในมนุษย์แล้ว 6 สายพันธุ์ ส่วนโรค COVID-19 เกิดจาก ไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ 2019 ซึ่งทำให้มีอาการปอดอักเสบรุนแรงได้ โดยเป็นเชื้อไวรัสที่เพิ่งถูกค้นพบใหม่ นับเป็นสายพันธุ์ที่ 7 ของไวรัสโคโรนาที่ติดต่อในมนุษย์
อาการของโรคไข้หวัดธรรมดา
- มีไข้ต่ำๆ ถึงมีไข้สูง ผ่านไป 3-4 วัน อาการจะเริ่มดีขึ้น
- อาจมีไอ จาม เล็กน้อย ผ่านไป 3-4 วัน อาการจะเริ่มดีขึ้น
- ไม่มีอาการท้องเสีย
- น้ำมูกไหล มีอาการคัดจมูก ทำให้หายใจไม่สะดวก
- ปวดตามตัว รู้สึกอ่อนเพลีย
อาการของโรคไวรัส COVID-19
- มีไข้สูงมากกว่า 37.5 องศา
- ไอ มีเสมหะ เจ็บคอ นานติดต่อกันมากกว่า 4 วัน
- บางรายอาจมีอาการคลื่นไส้ อาเจียน ท้องเสียร่วมด้วย
- หายใจลำบากมีไอร่วมด้วย ในบางรายรุนแรงถึงขั้นปอดอักเสบ หรือปอดบวม
- ปวดเมื่อยตามตัว ทานอาหารไม่ค่อยได้
ความรุนแรงของโรค
ไข้หวัดธรรมดา มักไม่มีโรคแทรกซ้อนรุนแรง และไม่มีอาการที่รบกวนชีวิตประจำวันมีอาการอยู่ไม่นาน หากดูแลร่างกาย พักผ่อนให้เพียงพอ อาการไข้หวัดจะค่อย ๆ หายไปเองใน 3-4 วัน
ไวรัส COVID-19 พบอาการปอดอักเสบอันนำไปสู่การเสียชีวิต ซึ่งความรุนแรงของโรคนี้จะแตกต่างกันตามความแข็งแรงของแต่ละคน
อย่างไก็ตามหากใครมีอาการ มีไข้สูงมากกว่า 37.5 องศา, ไอ เจ็บคอ, น้ำมูกไหล, หายใจเหนื่อยหอบ หายใจลำบาก ควรรีบพบแพทย์เพื่อตรวจและวินิจฉัยโรคนะคะ เพราะนอกจากจะทำการรักษาให้เหมาะสมแล้ว กรณีที่มีการติดเชื้อ COVID-19 ผู้ป่วยจะได้ระวัง แยกตัวเอง และระมัดระวังไม่นำเชื้อไปติดกับคนอื่นต่ออีกด้วยค่ะ
———-
ขอบคุณข้อมูล : โรงพยาบาลศิครินทร์