อาหาร กับโรคประจำตัว

อาหารต้องห้าม.jpg
อาหารที่เราทานกันทุกวัน นอกจากจะให้พลังงาน และสารอาหารที่จำเป็น รวมถึงช่วยซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอ และทำหน้าที่เสมือนยารักษาโรคแล้ว ในบางครั้งก็กลับจะให้โทษได้เหมือนกันนะคะ หากว่าเราทานอาหารนั้นๆ ไม่ถูกจังหวะ โดยเฉพาะในช่วงที่สุขภาพไม่แข็งแรง ร่างกายอ่อนแอ โรคภัยถามหา ก่อนจะทานอะไรคงต้องเลือกกันซักหน่อย
วันนี้มาดูกันดีค่ะ ว่าเวลาป่วย หรือใครที่มีโรคประจำตัว มีเมนูอะไรที่เราควรหลีกเลี่ยงกันบ้าง

ไมเกรน ปวดหัวจี๊ดๆ ข้างเดียวเป็นประจำ ควรงดเมนูขนมหวาน ขนมเค้ก ชานม น้ำผลไม้หวานๆ น้ำอัดลม เพราะอาหารหวานที่มีปริมาณน้ำตาลสูงจะทำให้น้ำตาลในเลือดไม่คงที่ จะเพิ่มสูงขึ้น และลดลงอย่างรวดเร็ว ทำให้เกิดโรคไฮโปโกลซีเมียหรืออาการที่น้ำตาลในเลือดต่ำได้ เป็นสาเหตุหนึ่งที่ก่อให้เกิดอาการปวดหัวไมเกรนค่ะ นอกจากนั้นยังควรลดปริมาณการทานเนื้อสัตว์ ทั้งเนื้อวัว เนื้อหมู เนื้อไก่ เพราะโปรตีนจากเนื้อสัตว์เหล่านี้มักมีสารพิษตกค้างจากฮอร์โมนต่างๆ ในกระบวนการเลี้ยง ทั้งยังมีกรดแอมิโนไทโรซิน ที่ทำให้ปวดหัวได้ง่ายขึ้นอีกด้วย

อาการข้ออักเสบ ปวดข้อ ปวดเข่า จะลุกนั่งก็ลำบาก ลองงดน้ำแข็ง อาหารเย็นๆ ดูค่ะ เพราะความเย็นจะทำให้กระเพราะอาหารของเราทำงานหนักขึ้น และระบบไหลเวียนของเลือดยังทำงานได้ไม่เต็มประสิทธิภาพอีกด้วย ที่สำคัญ ควรลดอาหารประเภทเนื้อสัตว์ เครื่องใน ไขมัน เพราะสารพิษตกค้างที่อยู่ในเนื้อสัตว์ จะเป็นตัวเพิ่มอาการเจ็บปวด และอาการอักเสบให้รุนแรงยิ่งขึ้น

สำหรับผู้ที่มีอาการกระเพาะอาหารอักเสบ ปวดท้อง แสบท้องเป็นประจำ ไม่ควรทานอาหารประเภทยำ หรืออาหารรสจัด รวมทั้ง ชา กาแฟ น้ำอัดลม (อาหารที่มีคาเฟอีนสูง) เพราะจะยิ่งทำให้เกิดการระคายเคืองของเยื่อบุกระเพาะมากขึ้นค่ะ อาการรสจัดยังจะยิ่งเร่งการหลั่งกรดในกระเพาะอาหารมากขึ้นอีกด้วยค่ะ

ผู้ที่มีอาการของโรคเบาหวาน ความดันโลหิตสูง ต้องหลีกเลี่ยงอาหารที่มีรสเค็ม มีเกลือหรือโซเดียมสูง เพราะโซเดียมจะเร่งให้ความดันให้ยิ่งเพิ่มสูงขึ้น รวมถึงอาหารรสหวาน และผลไม้สุก เพราะ น้ำตาลและไขมันจะทำให้เกิดโรคแทรกซ้อนขึ้นได้ง่าย ทั้งโรค หลอดเลือดเปราะ จอตาเสื่อม โรคไต ท่อปัสสาวะอักเสบ เป็นต้น

ผู้ป่วยที่มีอาการตับแข็ง ตับอักเสบ หรืออาการเสื่อมสภาพของตับ ต้องหลีกเลี่ยงอาหารทำร้ายตับ ซึ่งหลักๆ เลย คืออาหารประเภทเนื้อสัตว์ เพราะบรรดาเนื้อสัตว์ทั้งหลายจะทำให้ตับต้องทำงานอย่างหนักในการขับของเสียเช่น ยูเรีย และ แอมโมเนีย ออกไป แต่เมื่อตับทำงานได้ไม่เต็มประสิทธิภาพ ของเสียต่างๆ จึงถูกขับออกจากร่างกายได้น้อยลง และจะถูกดูดซึมกลับเข้าไปในกระแสเลือดอีกครั้ง ทำให้สุขภาพแย่ลง เซื่องซึม และบางครั้งอาจมีอาการหนักถึงขั้นหมดสติไปเลยก็ได้

คนป่วยมักต้องการการดูแลมากกว่าคนทั่วไป เพราะอวัยวะภายในบางส่วนไม่สามารถทำงานได้ตามปกติ พฤติกรรมการรับประทานอาหารจึงเป็นเรื่องสำคัญที่ต้องใส่ใจดูแลเป็นพิเศษ การลือกเมนูที่เหมาะสมจะช่วยให้ส่วนต่างๆของร่างกายได้ทำงานเบาลง และให้ร่างกายได้รับสารอาหารที่เป็นประโยชน์อย่างแท้จริง ใส่ใจกับเมนูต่างๆแล้วอย่าลืมออกกำลังกายอย่างพอเหมาะเพื่อช่วยฟื้นฟู เสริมสร้างสุขภาพโดยรวมให้แข็งแรงกันด้วยนะคะ

รักวัวให้ผูก .. รักลูกต้องทำอย่างไร

เลี้ยงลูก.jpg
รักวัวให้ผูก .. รักลูกให้ตี .. คำโบราณที่สอนกันไว้… จริงหรือไม่

สำหรับการเลี้ยงลูก ทุกๆ สิ่งที่เรากำลังหยิบยื่นให้พวกเขา ไม่ว่าจะเป็นพฤติกรรมของคุณพ่อคุณแม่เอง การเลี้ยงดู การอบรม การเรียน ทุกๆ สิ่งกำลังบ่มเพาะ และสร้างตัวตนให้กับเด็กๆ ให้พวกเขาค่อยๆ ซึมซับไปทีละน้อย เหมือนกับการปลูกต้นไม้นั่นล่ะค่ะ
วันนี้ ลองมาดูกันคะว่าคุณพ่อคุณแม่กำลังเลี้ยงลูกด้วยวิธีการแบบไหนกันอยู่ และเรากำลังบ่มเพาะเมล็ดพันธุ์ชนิดไหนไว้ในคัวเค้ากันบ้าง

นพ.กิจจา ฤดีขจร จาก ศูนย์การแพทย์นวบุตรสตรีและเด็ก กล่าวถึงเรื่องการเลี้ยงดูของผู้ปกครองที่มีผลต่อพฤติกรรม และอารมณ์ของเด็กๆ ไว้ตามนี้ค่ะ

การเลี้ยงดูแบบดูแลเอาใจใส่ หรือประชาธิปไตย
การเลี้ยงดูในแบบที่ให้เวลา ให้ความรักความอบอุ่นแก่เด็ก การจะทำสิ่งใดจะใช้การพูดคุย ให้เหตุผลในการทำให้เด็กเชื่อฟังและปฏิบัติตามความต้องการของคุณพ่อคุณแม่ รับฟัง ยอมรับ และตอบสนองความต้องการของเด็กๆ ให้ความสำคัญกับคำพูด ความคิดเห็นของพวกเขา เมื่อเขามีเหตุผล หรือมีความคิดเห็นโต้แย้งในแบบของเด็ก
สนับสนุนให้เด็กๆ มีความเป็นตัวของตัวเอง เปิดโอกาสให้เด็กๆ มีส่วนร่วมในการตัดสิน และ คุณพ่อคุณแม่ก็ต้องเคารพการตัดสินใจของพวกเขา รวมทั้งกระตุ้นให้เด็กมีพัฒนาการที่เหมาะสมกับวุฒิภาวะ
เมล็ดพันธุ์ที่เติบโตจากการบ่มเพาะแบบนี้จะทำให้เด็กสามารถปรับตัวในสถานการณ์ต่างๆ ได้ดี เห็นคุณค่าในตนเอง ควบคุมตนเองได้ดี มีวินัย มีวุฒิภาวะ มีความอดทน มั่นใจในตนเอง มีความคิดสร้างสรรค์ มีความรับผิดชอบ และมองโลกในแง่ดีค่ะ

การเลี้ยงดูแบบใช้อำนาจควบคุม
คุณพ่อคุณแม่เป็นเหมือนนักปกครอง มักเป็นผู้กำหนดกฎเกณฑ์ในทุกๆ เรื่อง และมักจะใช้อำนาจสั่งให้เด็กทำตามความคิดเห็นของตน ไม่ตอบสนองความต้องการของเด็ก ไม่รับฟังความเห็น ไม่อธิบายเหตุผลในการสร้างกฎเกณฑ์ต่างๆ ของตนเอง และจะมีบทลงโทษเมื่อเด็กไม่ปฏิบัติตามคำสั่ง
เมล็ดพันธุ์ที่เติบโตจากการบ่มเพาะแบบนี้จะทำให้เด็กมีความภูมิใจต่ำ ไม่ค่อยมั่นใจในตนเอง อารมณ์ไม่มั่นคง วุฒิภาวะ ทักษะทางสังคมต่ำ ปฏิสัมพันธ์กับเพื่อนไม่ดี มีปัญหาในการปรับตัวเข้ากับสิ่งต่างๆ แต่จะมีลักษณะที่ดีบางประการคือ มีการควบคุมตนเองสูง มีวินัยสูง และมีความซื่อสัตย์สูงค่ะ

การเลี้ยงดูแบบรักตามใจ
คุณพ่อคุณแม่รักมาก ทุ่มเทให้ทุกสิ่งตามที่เด็กๆ ต้องการ ไม่มีการควบคุมหรือบังคับเด็กเลย ปล่อยให้เด็กทำตามความต้องการโดยไม่กำหนดขอบเขต
เมล็ดพันธุ์ที่เติบโตจากการบ่มเพาะแบบนี้จะทำให้เด็กๆ เอาแต่ใจตัวเอง ดื้อรั้น ไม่เชื่อฟัง ขาดการควบคุมตนเอง ขาดระเบียบวินัย มีความรับผิดชอบต่ำ มีแนวโน้มก้าวร้าว ขาดวุฒิภาวะ และมีปัญหาในการปรับตัว แต่ก็จะมีลักษณะที่ดีบางประการคือ เด็กเห็นคุณค่าในตนเอง และมีทักษะทางสังคม

การเลี้ยงดูแบบทอดทิ้งหรือปล่อยปละละเลย
คุณพ่อคุณแม่ทีมักจะเพิกเฉย ไม่สนใจ ไม่เอาใจใส่เด็ก ไม่ควบคุม ไม่ตอบสนองความต้องการของเด็ก
เมล็ดพันธุ์ที่เติบโตจากการบ่มเพาะแบบนี้จะทำให้เด็กขาดความสามารถในการปรับตัว ขาดวุฒิภาวะ ไม่เห็นคุณค่าในตนเอง ขาด แรงจูงใจ มองโลกในแง่ร้าย ขาดความเชื่อมั่นในตนเอง และมักต่อต้านสังคม

เด็กๆ ก็เหมือนภาพสะท้อนความสัมพันธ์ ความรัก ความอบอุ่นในครอบครัว ว่าพวกเขาเติบโตขึ้นมาในสภาวะแวดล้อมแบบไหน ดังนั้นการเลี้ยงดูพวกเขา หยิบยื่นสิ่งที่ดี สิ่งที่เมาะสมกับพวกเขาตั้งแต่เด็กจึงเป็นสิ่งที่สำคัญกับพวกเขาเป็นอย่างยิ่ง “เวลา ความรัก ความเข้าใจ” จึงเป็นเหมือนหัวใจในการเลี้ยงดูเด็กๆ ให้เติบโตขึ้นมาเป็นผู้ใหญ่ที่มีวุฒิภาวะ และอยู่ในสังคมได้อย่างมีความสุขค่ะ

สมองสดใส ไอเดียปิ๊ง ง่ายๆ

brain.jpg
หลายๆ คนรู้จักกับอาการสมองเสื่อม โรคความจำเสื่อม หรือโรคอัลไซเมอร์ ในฐานะโรคของผู้สูงอายุ เพราะเข้าใจว่าโรคเหล่านี้จะเกิดกับผู้สูงอายุ และยังจะไม่ต้องกังวลในวัยหนุ่มสาว ทว่า แท้ที่จริง โรคเกี่ยวกับความเสื่อมของสมอง อาจเริ่มเกิดขึ้นตั้งแต่วัย 30-40 โดยที่เรายังไม่รู้ตัวก็เป็นได้ค่ะ แต่ด้วยความที่อาการมักจะแสดงออกชัดเจนเมื่ออายุมากขึ้น กว่าจะรู้ตัวก็มักจะสายเกินไปเสียแล้ว

ลองเช็คดูกันซักหน่อย ว่าเราเริ่มมีอาการหลงๆ ลืมๆ วางของแล้วจำไม่ได้ ลืมนัด ลืมชื่อคน เริ่มมีอาการพิมพ์ดีดผิดจากที่ไม่เคยเป็น หรือเริ่มนึกอะไรๆ ออก ช้ากว่าที่เคยกันบ้างหรือเปล่า เหล่านี้ ล้วนเป็นอาการที่เป็นสัญญาณเกี่ยวกับสมอง ที่ไม่ควรละเลยกันแล้วล่ะค่ะ

โรคสมองเสื่อม แม้จะเป็นไปตามธรรมชาติ แต่หากมีการดูแลที่ดี ก็อาจเป็นหนทางป้องกัน และบำรุงสมองของเราให้ทำงานได้เป็นปกติไปได้อีกนานๆ มาดูกันเลยค่ะกับ 5+2 วิธีดูแลสมองของเรา

ประการแรก ดูแลเรื่องโภชนาการ … เราอาจจะได้รับข้อมูลว่าผลิตภัณฑ์อาหารเสริมหลายๆ ชนิดมีส่วนช่วยในการบำรุงสมอง ทว่าการรักษาสมดุลทางโภชนาการ ให้ร่างกายได้รับสารอาหารที่เหมาะสมในแต่ละมื้อกลับเป็นเรื่องที่สำคัญกว่า เพราะฉะนั้น อย่าลืมดูแลให้ร่างกายได้รับสารอาหารให้ครบถ้วน ทั้งโปรตีน คาร์โบไฮเดรต ไขมัน วิตามิน รวมถึงแร่ธาตุ และอย่าลืม ทานอาหารเช้าในทุกๆ วัน เพราะอาหารเช้า จะเป็นตัวช่วยในการรักษาระดับน้ำตาลในเลือดให้คงที่ ซึ่งจะมีผลต่อการทำงานของสมองค่ะ

ประการที่สอง พักผ่อนให้เพียงพอ … สมอง จำเป็นต้องได้รับการพักผ่อนเช่นเดียวกับส่วนอื่นๆ ของร่างกาย การพักผ่อนที่ไม่เพียงพอจะส่งผลต่อการทำงานของสมอง ทั้งในด้านการใช้ความคิด และการตื่นตัวของสมอง

ประการที่สาม ฝึกสมอง…  ร่างกายที่แข็งแรง จำเป็นต้องได้รับการออกกำลังกายที่เหมาะสม เช่นเดียวกับสมองของเรา การใช้สมองในการเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ ภาษาใหม่ๆ รวมถึงเกมส์ที่ใช้สมองอย่างเช่นหมากกระดาน เกมส์คำศัพท์ หรือเกมส์ประเภทตัวเลข ล้วนเป็นการบริหารสมองที่ดีทั้งสิ้น สมองที่สมบูรณ์ จำเป็นต้องได้รับการบริหาร เริ่มบริหารสมองเสียตั้งแต่วันนี้ค่ะ

ประการที่สี่ ออกกำลังกาย … การทำงานของสมอง ย่อมเป็นผลมาจากการทำงานของระบบอื่นๆ ของร่างกาย หมั่นออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ ให้หัวใจได้สูบฉีดเลือดอย่างเต็มที่อย่างน้อย สัปดาห์ละ 2-3 ครั้ง สมองที่ดี จำเป็นต้องอาศัยร่างกาย และระบบการทำงานที่ดี ที่สำคัญ การออกกำลังกายจะมีส่วนช่วยในการทำงานของสมองในส่วนของการตัดสินใจ และความจำ

ประการที่ห้า บริหารความเครียด และจดจำเรื่องราวที่ดี … สมองของเราทำงานได้ดีในขณะที่เรามีความสุขค่ะ พยายามลดภาวะความเครียด ผ่อนคลายด้วยการทำสมาธิ หางานอดิเรก หรือไปเที่ยวพักผ่อนเมื่อรู้สึกว่าเรามีความเครียดมากจนเกินไป เข้าสังคม พบปะกับผู้คน รวมถึงจดจำเรื่องราวดีๆ ที่เกิดขึ้นในแต่ละวัน สิ่งเหล่านี้ มีผลต่อการทำงานของสมองทั้งสิ้น

ดูแลสมองตามที่กล่าวมาแล้ว สิ่งสำคัญอีกสิ่งหนึ่งก็คือการดื่มน้ำให้เพียงพอ … เพราะ น้ำ เป็นส่วนประกอบสำคัญของสมอง และมีความสำคัญต่อการทำงานของสมองไม่น้อยไปกว่าระบบอื่นๆ ภายในร่างกาย แปลว่าสมอง จำเป็นต้องได้รับน้ำในปริมาณที่เพียงพอและเหมาะสม พยายามดื่มน้ำให้มากในแต่ละวัน เพราะนอกจากความสดชื่นที่ได้รับแล้ว ยังจะช่วยให้สมองทำงานได้ดีขึ้นอีกด้วย ที่สำคัญ น้ำเปล่า ดีที่สุดนะคะ

และนอกเหนือจากการดูแลสมองให้แข็งแรงแล้ว อย่าลืมช่วยลดการทำร้ายสมอง ด้วยการลดสิ่งที่เป็นอันตรายกับสมองกันด้วย เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ บุหรี่ สารเสพติดทุกชนิด เป็นอันตรายต่อสมอง ทางที่ดี อยู่ห่างๆ ไว้จะดีที่สุดเลยค่ะ

เอาล่ะ ได้ทราบกันไปแล้ว ถึงแนวทางในการดูแล รักษาสมองของเราให้มีสุขภาพที่ดี อย่าปล่อยให้สมองของเราเสื่อมจนเกินจะแก้ไข เริ่มดูแลเสียตั้งแต่วันนี้ เพราะเรื่องราวดีๆ ในชีวิตยังมีอยู่อีกมากมายให้จดจำ เตรียมสมองไว้รับกับเรื่องราวเหล่านั้นไปด้วยกัน ที่สำคัญ ไอเดียดีๆ ย่อมต้องมาจากสมองที่สุขภาพดีเช่นกันค่ะ ^^

เลี้ยงลูกอย่างไร ให้สูงสมใจคุณแม่

คุณพ่อ คุณแม่ มักมีเรื่องกังวลใจว่าลูกเรา สูงน้อยไปซักหน่อยหรือเปล่า กรรมพันธุ๋มีผลแค่ไหน และจะเลี้ยงลูกอย่างไรให้ตัวสูงๆ วันนี้เรามีเคล็ดลับง่ายๆ ที่จะทำให้เด็กๆ ตัวสูงได้มาฝากกันค่ะ

ก่อนอื่น เรามาทำความเข้าใจซักนิด ว่าระดับความสูงของลูกนั้น จะเกี่ยวกับพันธุกรรมกันมากน้อยแค่ไหน

ตามสถิติแล้วความสูงของเด็กโดยเฉลี่ย จะสัมพันธ์กับความสูงของ คุณพ่อ และคุณแม่ ค่ะ คือ โดยเฉลี่ยแล้ว ความสูงของเด็กผู้ชาย จะเท่ากับความสูงเฉลี่ยของคุณพ่อและคุณแม่ บวกกับอีกประมาณ 5.5 ซ.ม.(ความสูงคุณพ่อ + ความสูงคุณแม่)/2 + 5.5 ซ.ม. และความสูงของเด็กผู้หญิง จะเท่ากับความสูงเฉลี่ยของคุณพ่อ และคุณแม่ ลดลงไปประมาณ 5.5 ซ.ม. ค่ะ (ความสูงคุณพ่อ + ความสูงคุณแม่)/2 – 5.5 ซ.ม.
ทั้งนี้ความสูงของเด็กจะแปรผันตามปัจจัยอื่นๆ ด้วย สามารถ บวก ลบ ได้อีกประมาณ 10 เซนติเมตรค่ะ

เคล็ดลับเพิ่มความสูง
สิ่งแรกเลย โภชนาการค่ะ
เนื้อ นม ไข่ และอาหารประเภทโปรตีน เป็นสิ่งจำเป็นสำหรับเด็กๆ ที่กำลังเจริญเติบโต เพราะร่างกายจะนำสารอาหารเหล่านี้ไปใช้ในการสร้างกล้ามเนื้อ และกระดูก

ส่วนต่อมา การพักผ่อนที่เพียงพอ
เด็กๆ เดี๋ยวนี้นอนดึกกันมาก กิจกรรมที่เด็กๆ ชอบทำช่วงกลางคืนทำให้เข้านอนช้า และพักผ่อนไม่เพียงพอ ช่วงเวลาที่ฮอร์โมนในร่างกายอย่างเช่น โกรทฮอร์โมน หลั่งมาก คือในช่วงเวลาประมาณ 2 ทุ่ม ไม่เกิน 4 ทุ่ม และจะต้องเป็นระหว่างการนอนหลับสนิทเท่านั้น โกรทฮอร์โมนจะทำหน้าที่กระตุ้นการเจริญเติบโตของเซลล์กระดูกค่ะ

ส่วนสุดท้าย การออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ
การออกกำลังกายที่เหมาะกับการเพิ่มความสูง คือ การออกกำลังกายที่ต้องลงน้ำหนักที่กระดูกขา เช่น การวิ่ง กระโดดเชือก กีฬาที่มีการกระโดด เช่นวอลเล่ย์บอล บาสเกตบอล หรือการออกกำลังกายแบบยืดตัว เช่น การโหนบาร์ก็ช่วยได้ค่ะ

ปัจจุบัน แม้จะมีการเพิ่มความสูงด้วยวิธีอื่นๆ มากมาย ไม่ว่าจะเป็นการทานอาหารเสริม การทานแคลเซียม หรือการฉีดฮอร์โมน ทั้งหมด อาจจะเป็นทางเลือกที่พ่อแม่เริ่มให้ความสนใจ แต่ในความเห็นของคุณหมอหลายๆ ท่าน มองว่า ยังไม่มีใครทราบถึงผลกระทบที่อาจจะตามมาในระยะยาว วิธีตามธรรมชาตินี่ล่ะที่ปลอดภัย และสบายใจได้มากที่สุดค่ะ

บริจาคเลือดกันดีกว่า

blood
นึกออกกันหรือเปล่า ว่าได้บริจาคเลือดครั้งสุดท้ายเมื่อไหร่…
หลายๆ คน อาจจะเคยบริจาคเลือดกันอยู่บ้าง แต่ทราบกันหรือไม่คะ ว่าเราสามารถบริจาคเลือดกันได้ทุกๆ 3 เดือน สำหรับคุณผู้ชาย และทุกๆ 6 เดือน สำหรับคุณผู้หญิง โดยที่ไม่เป็นอันตรายต่อสุขภาพ และที่สำคัญ การบริจาคเลือด นอกจากจะเป็นการได้ทำบุญ ช่วยเหลือผู้ที่เดือดร้อนแล้ว ยังมีผลดีต่อสุขภาพในแบบที่เราอาจจะไม่เคยทราบมาก่อนเลยอีกด้วยล่ะค่ะ

ก่อนจะไปถึงข้อดี และประโยชน์ต่อร่างกายของการบริจาคโลหิต เรามาทำความเข้าใจถึงที่ระบบการสร้างเม็ดเลือดของเรากันซักหน่อยก่อนค่ะ เลือดของเรา ประกอบด้วยพลาสมา หรือน้ำเหลือง และเม็ดเลือด ในปริมาณประมาณ 8 เปอร์เซ็นต์ ของน้ำหนักตัว คือประมาณ 5-6 ลิตร ในคุณผู้ชาย และ 4-5 ลิตรในคุณผู้หญิง โดยมีไขกระดูกทำหน้าที่สร้างเม็ดเลือดทั้ง 3 ชนิด คือ เม็ดเลือดแดง เม็ดเลือดขาว และเกล็ดเลือด โดยที่ เม็ดเลือดแดงจะมีอายุ ประมาณ 120 วัน ในขณะที่ เม็ดเลือดขาว และเกล็ดเลือด จะมีอายุประมาณ 5-10 วัน ซึ่ง เมื่อครบกำหนด เม็ดเลือดที่เสื่อมสภาพก็จะถูกกำจัดออกผ่านเหงื่อ ปัสสาวะ และอุจจาระ และเม็ดเลือดใหม่จะถูกสร้างขึ้นมาแทนที่ ทั้งนี้ ร่างกายของคนเราที่มีปริมาณเลือดเฉลี่ยประมาณ 5 ลิตร นั้น ร่างกายมีความจำเป็นต้องใช้จริงเพียงประมาณ 80% และมีส่วนที่เกินจากความจำเป็นอยู่อีกถึงประมาณ 20% ซึ่งเป็นส่วนที่สามารถบริจาคได้โดยไม่เป็นอันตรายต่อร่างกายเลยค่ะ
ในการบริจาคเลือดแต่ละครั้ง สิ่งที่เกิดขึ้นคือ ร่างกายได้มีโอกาสสร้างเม็ดเลือดใหม่ขึ้นมาทดแทนได้เร็วขึ้น ซึ่งเม็ดเลือดใหม่เหล่านี้ ก็จะสามารถทำหน้าที่ได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น โดยเม็ดเลือดแดงจะสามารถลำเลียงออกซิเจนได้ดีขึ้น เม็ดเลือดขาวสามารถขจัดสิ่งแปลกปลอมที่เข้ามาในร่างกายได้ดีขึ้น และเกล็ดเลือดก็สามารถที่จะซ่อมแซมแผลเปิดของร่างกายได้อย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น นอกเหนือไปจากนั้น การบริจาคเลือดยังจะเป็นการกระตุ้นการทำงานของไขกระดูกอีกทางหนึ่งด้วย และที่สำคัญ จะทำให้ร่างกายได้ลดการสะสมของธาตุเหล็ก ซึ่งจะเกิดการออกซิเดชั่น เป็นสาเหตุสำคัญของการเกิดโรคหัวใจวาย และโรคหลอดเลือดหัวใจ

นอกเหนือจากการลดความเสี่ยงจากการเกิดโรคหัวใจแล้ว การบริจาคเลือดยังมีส่วนช่วยลดอัตราเสี่ยงของการเกิดเซลล์มะเร็งอีกด้วยค่ะ เนื่องจากร่างกายได้ลดการสะสมของธาตุเหล็ก ซึ่งมีผลทำให้ปริมาณอนุมูลอิสระในร่างกายลดลง อนุมูลอิสระเหล่านี้ หากมีในปริมาณที่มาก ก็จะเป็นปัจจัยที่เพิ่มความเสี่ยงในการที่จะทำให้เซลล์แปรสภาพไปเป็นเซลล์มะเร็งได้

การบริจาคเลือด นอกจากจะมีข้อดีในด้านของสุขภาพ และการลดความเสี่ยงต่ออาการป่วย ทั้งโรคหัวใจ และการเกิดมะเร็งแล้ว ยังช่วยให้ระบบการไหลเวียนของเลือด ทำได้ดีขึ้น ระบบต่างๆ ก็ทำงานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพขึ้น ทั้งยังช่วยให้ผิวพรรณเปล่งปลั่ง สดใส โดยไม่ต้องพึ่งวิตามิน หรืออาหารเสริมใดๆ เลยล่ะค่ะ

ทราบถึงข้อดีของการบริจาคเลือดกันขนาดนี้แล้ว เตรียมตัวไปบริจาคเลือดกันดีกว่าค่ะ … การเตรียมตัวไปบริจาคเลือดนั้น ต้องพิจารณาสภาพความพร้อมของร่างกายกันก่อน คือ ต้องมีน้ำหนักไม่น้อยกว่า 45 กิโลกรัม มีอายุระหว่าง 17 ปี ถึง 60 ปี มีสุขภาพสมบูรณ์แข็งแรง ไม่มีโรคประจำตัว ไม่อยู่ระหว่างไม่สบาย หรือกำลังรับประทานยาใด ๆ ไม่มีพฤติกรรมเสี่ยงทางเพศ หรือติดยาเสพติด และสำหรับคุณผู้หญิง จะต้องไม่อยู่ในระหว่างมีประจำเดือน ตั้งครรภ์ หรือให้นมบุตร และไม่มีการคลอดบุตรหรือแท้งบุตรภายใน 6 เดือนที่ผ่านมาค่ะ

สำหรับการเตรียมตัวก่อนบริจาคเลือด อย่างแรกเลยค่ะ พักผ่อนให้เพียงพอ คือนอนไม่น้อยกว่า 6-8 ชั่วโมงก่อนวันบริจาค งดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์อย่างน้อย 24 ชั่วโมงก่อนการบริจาค รวมถึงงดสูบบุหรี่ ก่อนบริจาคอย่างน้อย 1-2 ชั่วโมงเพื่อให้ปอดสามารถฟอกเลือดได้เต็มที่ค่ะ และสุดท้าย ควรทานอาหารมื้อหลัก โดยหลีกเลี่ยงอาหารที่มีไขมันสูง และดื่มน้ำ หรือน้ำผลไม้ เพื่อป้องกันอาการอ่อนเพลียจากการบริจาคกันด้วย

เอาล่ะค่ะ การบริจาคเลือดที่ไม่ใช่แค่ได้ช่วยเหลือผู้ที่กำลังเดือดร้อนในแบบที่เราสามารถทำได้โดยไม่ลำบาก แต่ยังมีข้อดีต่อสุขภาพกันอีกตั้งหลายอย่างเลย ตอนนี้ ใครพร้อมแล้ว เตรียมตัวไปบริจาคเลือดกันดีกว่าค่ะ ^^

ข้อมูลการบริจาคโลหิต ศูนย์บริการโลหิตแห่งชาติ สภากาชาดไทย

www.blooddonationthai.com

ลดน้ำหนักให้ได้ผลดี ต้องเบิร์นให้ถูกวิธีกันก่อน

fit.jpg
พฤติกรรมการใช้ชีวิตของเราในทุกวันนี้ ล้วนเป็นสาเหตุของการเกิดโรคยอดนิยม ‘โรคอ้วน’ ไม่ว่าจะเป็นปริมาณน้ำตาลที่สูงมากที่แทรกอยู่ในเมนูโปรดทั้งหลาย การรับประทานอาหารประเภททอด และอาหารที่มีส่วนผสมของไขมันสูง การทานอาหารประเภทฟาสต์ฟู้ด การทานอาหารว่างและของขบเคี้ยวในระหว่างวัน แม้แต่การทานอาหารเย็นที่ค่อนข้างดึก และทานในปริมาณที่มากเกินกว่าการเผาผลาญของร่างกาย ที่สำคัญ เวลาที่หายไปกับการทำงานและการเดินทาง ทำให้เรามีเวลาที่จะออกกำลัง เผาผลาญไขมันส่วนเกินเหล่านี้น้อยลงไปอีก..

วันนี้ มีคำแนะนำดีๆ เกี่ยวกับการออกกำลังกายที่ใช้เวลาไม่นาน แต่ให้ผลในด้านการเบิร์นได้เป็นอย่างดี พร้อมสิ่งที่ควรรู้เกี่ยวกับการออกกำลังกายมาฝากกันค่ะ

HIIT (High Intensity Interval Training) คือการแบ่งช่วงการออกกำลังกายออกเป็นช่วงสั้นๆ สลับกันระหว่างการออกกำลังกายในระดับความเร็วสูงสุด และการออกกำลังกายในระดับความเร็วปานกลาง โดยจะทำสลับกันเป็นเซ็ต

ข้อดีของการออกกำลังกายในลักษณะนี้ นอกเหนือจากการได้กระตุ้นการทำงานของหัวใจให้ได้ทำงาน และแข็งแรงขึ้นแล้ว ยังเป็นการเผาผลาญพลังงานที่ให้ผลลัพธ์เต็มที่ ภายในระยะเวลาที่สั้นลงค่ะ

การออกกำลังกายในแบบ HIIT สามารถใช้ได้กับเครื่องออกกำลังกายประเภทคาร์ดิโอ ทุกประเภทที่มีอยู่ในฟิตเนส และยังสามารถทำได้ด้วยการออกกำลังกายประเภทอื่นๆ เช่นการวิ่ง อีกด้วย

โดยหลักการออกกำลังกายแบบ HIIT เริ่มต้นด้วยการ stretching การ warm up คือการยืดกล้ามเนื้อ และเตรียมความพร้อมของร่างกาย
จากนั้น เริ่มออกกำลังในระดับความเร็วปานกลาง เป็นระยะเวลาประมาณ 30 วินาที ถึง 1 นาที
เร่งจังหวะการออกกำลังกาย ไปสู่ความเร็วสูงสุดที่สามารถทำได้ เป็นระยะเวลาประมาณ 30 วินาที ถึง 1 นาที
ทั้งหมดนี้ นับเป็นหนึ่ง เซ็ต ให้ทำต่อเนื่อง สลับกันไปจนครบ 10-15 เซ็ต

จากนั้น แนะนำให้ออกกำลังประเภท free weight ต่ออีกซัก 5-10 นาที เป็นอย่างน้อย รับประกัน ว่าได้เผาผลาญพลังงานกันอย่างเต็มที่เลยล่ะค่ะ

นอกจากการออกกำลังกายแบบ HIIT ที่นำมาฝากกันแล้ว อยากจะให้ลองมาทำความเข้าใจกันซักหน่อยค่ะ ว่าร่างกายของเราทำงานกันอย่างไร เบิร์นเสร็จแล้ว จะได้ได้ผลตามที่ตั้งใจกันไว้

การออกกำลังกายในช่วง 15 นาทีแรก ร่างกายจะดึงเอาแหล่งพลังงานหลัก หรือน้ำตาลจากตับ มาใช้ก่อน ส่วนนี้ ยังไม่ได้ช่วยลดน้ำหนัก หรือเผาผลาญพลังงานส่วนเกินแต่อย่างใด เพราะเป็นพลังงานที่ร่างกายมีไว้สำหรับกิจกรรมประจำวันอยู่แล้ว

การออกกำลังกายใน 15 นาทีต่อมา เมื่อร่างกายรู้สึกว่าต้องการพลังงานเพิ่มเติม ก็จะดึงเอาพลังงานในส่วนทีสอง คือแป้ง โดยเปลี่ยนให้อยู่ในรูปของน้ำตาลเพื่อนำมาใช้ โดยยังไม่ได้ดึงเอาไขมันสะสมมาใช้เลย

จนหลังจาก 30 นาทีผ่านไป ร่างกาย จึงจะเริ่มดึงเอาไขมันที่สะสมไว้มาใช้งาน เป็นจุดเริ่มต้นของการเผาผลาญไขมันส่วนเกิน ที่เราเรียกว่า Burn นั่นล่ะค่ะ

สรุปสั้นๆ คือ การออกกำลังกายเพื่อเผาผลาญไขมันส่วนเกิน จำเป็นต้องทำอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ 30 นาทีขึ้นไป และร่างกายของเราจะยังคงใช้พลังงานต่อไปอีกหลังจากการออกกำลัง โดยใช้เพื่อสร้างกรดบางชนิด สังเกตว่าเราจะยังคงมีเหงื่อออก และมีอุณหภูมิร่างกายที่สูงอยู่อีกซักระยะหนึ่ง ในช่วงหลังการออกกำลังกายนี่ล่ะค่ะ จึงเป็นเรื่องสำคัญ ที่ไม่ควรดื่มน้ำอัดลม น้ำหวาน ทานขนม หรือน้ำตาลทุกประเภท เพราะจะทำให้ร่างกายรับรู้ว่ามีแหล่งพลังงานหลักให้ดึงกลับมาใช้อีก และเลิกดึงเอาไขมันส่วนเกินมาเผาผลาญ

แล้วก็อย่าลืมนะคะ การออกกำลังกายสม่ำเสมอ เป็นประจำ จะเป็นผลดีต่อสุขภาพมากกว่าการออกกำลังกายหนักๆ แต่ขาดความสม่ำเสมอค่ะ… เอาล่ะ พร้อมจะไปเบิร์นกันหรือยังคะ ^^

สงกรานต์

57052374_2380192552012349_6378930563830513664_n.jpg
ส่งท้ายปีเก่า เริ่มต้นปีใหม่แบบไทยๆ ของเรา กับเทศกาลสงกรานต์
สงกรานต์ ที่ในวันนี้ อาจจะเลือนลาง คงเหลือเพียงความสำคัญในฐานะที่เป็นช่วงวันหยุดต่อเนื่องให้เราได้พักกันยาวๆ หรือ มีความสำคัญต่อหนุ่มสาว และเด็กๆ เพียงในฐานะเทศกาลแห่งความสนุกสนาน การเล่นน้ำ ความรื่นเริง และการสังสรรค์..

หลายๆ คน อาจจะได้มีโอกาสเข้าวัด ทำบุญ เป็นสิริมงคลสำหรับการเริ่มต้นปีใหม่ หลายๆ คน ได้มีโอกาสกลับไปเยี่ยมเยียน รดน้ำดำหัวญาติผู้ใหญ่ หลายๆ ครอบครัว ได้พบกันอย่างพร้อมหน้าพร้อมตาอีกครั้ง…..ในขณะที่อีกหลายๆ บ้าน ได้มีโอกาสเดินทางไปพักผ่อน ทิ้งเรื่องราวเหนื่อยๆ ไวัด้านหลังได้ซักระยะ…

สงกรานต์ นอกเหนือจากความสนุกสนาน รื่นเริง และการได้พักผ่อน นอกเหนือจากการได้ทำบุญ เข้าวัด ได้สืบสานประเพณีอันดีงามแล้ว… สงกรานต์ หรือช่วงเวลาของการเข้าสู่ปีใหม่ของไทยเรา ยังนับเป็นอีกช่วงเวลาที่ดี ในการที่จะทิ้งเรื่องราวบางอย่าง เลิก ละ กับความเคยชินบางอย่าง และเริ่มต้นกับเรื่องราวดีๆ เริ่มต้น กับเส้นทางใหม่ๆ กับชีวิตของเราค่ะ..

ปีใหม่ทั้งที.. อย่าปล่อยให้ผ่านเพียงแค่อีกช่วงของวันหยุดยาวๆ… มาเริ่มต้นสิ่งใหม่ๆ มีเป้าหมายใหม่ๆ ที่ท้าทายยิ่งขึ้น มีความฝันใหม่ๆ และเริ่มออกเดินทางตามความฝันนั้นด้วยกัน..
สำหรับวันนี้ นำภาพของแสงอาทิตย์ยามเช้า ที่เริ่มทอแสงสดใสผ่านบ้านทรงไทยสวยๆ มาฝากกัน ภาพของการเริ่มต้นวันที่สดใส… ส่งท้ายปีเก่า และขอต้อนรับทุกท่านเข้าสู่ปีใหม่ของไทยเราค่ะ ^^

เตรียมตัวรับสงกรานต์


เข้าสู่ช่วงสงกรานต์กันแล้ว ใครที่เตรียมตัวจะไปเล่นน้ำสงกรานต์ มาดูกันซักหน่อยว่าควรระมัดระวังอาการป่วยอะไรกันบ้าง ก็อากาศร้อนๆ เล่นน้ำสงกรานกันเปียกชุ่ม อาการป่วยที่ควรระวังกัน นอกเหนือจากการป้องกันระมัดระวังเรื่องของโควิด 19 ที่เริ่มกลับมาแพร่กระจายอีกรอบ ยังมีอีกหลายอย่างเลยค่ะ

เริ่มต้นด้วย โรคลมแดด หรือ ฮีทสโตรก อาการที่หลายๆ คนคิดว่าไม่รุนแรง แต่แท้ที่จริง สำหรับบางกรณี หากไม่ได้รับการปฐมพยาบาลที่ถูกต้อง อาการอาจรุนแรงถึงขั้นเสียชีวิตกันได้เลยคะ  ที่สำคัญ โรคลมแดด เป็นโรคที่คนที่มีร่างกายแข็งแรงเป็นปกติ ก็สามารถเป็นได้ คือเมื่ออุณหภูมิภายในร่างกายสูงเกิน 40 องศาเซลเซียส ร่างกายสูญเสียน้ำมาก เป็นเวลานานๆ ทำให้เลือดมีความเข้มข้นสูงขึ้น และร่างกายปรับตัวกับอุณหภูมิที่สูงขึ้นไม่ทัน อาจทำให้มีอาการกระหายน้ำมากๆ คลื่นไส้ อาเจียน ปวดศีรษะ หน้ามืด วิงเวียนศีรษะ ความดันโลหิตต่ำ ช็อก จนอาจถึงขั้นหมดสติได้ การป้องกันอาการของโรคลมแดด ทำได้โดยการหลีกเลี่ยงการอยู่กลางแดด หรือที่ร้อนอบอ้าว เป็นเวลานานๆ ดื่มน้ำให้มากกว่าปกติ และหลีกเลี่ยงการดื่มแอลกอฮอล์ ซึ่งจะทำให้ร่างกายเสียน้ำมากยิ่งขึ้นค่ะ
และในกรณีที่มี่ผู้ป่วยเป็นโรคลมแดด การปฐมพยาบาลเบื้องต้น ทำได้โดยให้นอนราบลง ยกเท้าทั้งสองข้างให้สูงเพื่อเพิ่มการไหลเวียนของเลือด คลายเสื้อผ้าที่แน่นออก จากนั้นใช้ผ้าชุบน้ำเย็น หรือใช้น้ำแข็งประคบตามซอกตัว คอ รักแร้ เชิงกราน ศีรษะ พร้อมๆ กับพัด หรือใช้พัดลมช่วยเป่าเพื่อให้อากาศถ่ายเท ลดความร้อน และลดอุณหภูมิของร่างกายให้ต่ำลง จากนั้นให้รีบนำส่งโรงพยาบาลโดยเร็วค่ะ

โรคต่อมา คือ โรคตาแดง ซึ่งเป็นโรคตาที่พบได้บ่อย เกิดขึ้นได้กับทุกเพศทุกวัย โดยมีสาเหตุมาจากการสัมผัสกับเชื้อโรค หรือสิ่งที่ไม่สะอาด ทำให้เกิดการอักเสบของเยื่อบุตา ที่คลุมหนังตาบน และล่าง รวมถึงเยื่อบุตาที่คลุมตาขาว
โรคตาแดงนั้นอาจเป็นได้ทั้งแบบเฉียบพลัน และแบบเรื้อรัง โดยเกิดได้ทั้งจากติดเชื้อแบคทีเรีย ไวรัส อาการภูมิแพ้ หรือ จากการสัมผัสสารที่ระคายเคืองต่อตา และ สำหรับในช่วงสงกรานต์ สิ่งที่ควรระมัดระวัง คือการสัมผัสกับเชื้อโรคที่มากับน้ำที่ไม่สะอาด การเล่นน้ำสงกรานต์ควรใส่แว่นตากันน้ำ เพื่อระมัดระวังไม่ให้น้ำที่อาจจะไม่สะอาดกระเด็นเข้าตา และหากเกิดอาการตาแดง แม้ว่าเป็นโรคที่โดยทั่วไปแล้วสามารถหายเองได้ในระยะ 1-2 สัปดาห์ แต่การพบแพทย์ เพื่อทำการรักษาอย่างถูกวิธีย่อมเป็นทางเลือกที่ดีที่สุด

โรคต่อมาที่ควรระมัดระวังกัน โดยเฉพาะในช่วงเดือนเมษายน หน้าร้อนของไทย เป็นโรคที่เกี่ยวกับความสะอาดของอาการที่เราทานกัน โรคอาหารเป็นพิษ เพราะสงกรานต์เป็นช่วงที่อากาศร้อน และแห้ง เหมาะกับการเจริญเติบโตของเชื้อโรคหลายๆ ชนิด อาหารต่างๆ ก็อาจบูดเสียได้ง่าย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง อาหารที่มีส่วนผสมของกะทิ หรือนม นอกจากนั้น การทานอาหาร หรือดื่มน้ำที่ไม่สะอาด ก็อาจทำให้เกิดโรคดังกล่าวได้เช่นกัน อาการที่เกิดขึ้นในผู้ป่วย ได้แก่อาการถ่ายเหลว คลื่นไส้ อาเจียน ปวดท้อง และอาจมีภาวะขาดน้ำ ซึ่งในรายที่มีอาการรุนแรงอาจส่งผลให้เกิดภาวะช็อค หมดสติ และเสียชีวิตได้ เพราะฉะนั้น ควรระมัดระวังในการเลือกอาหาร รวมทั้งดื่มน้ำดื่มที่สะอาด เพื่อป้องกันอาการอาหารเป็นพิษกันด้วย

นอกเหนือจากอาการของโรคที่ควรระมัดระวังข้างต้นแล้ว การเล่นน้ำเป็นระยะเวลานานๆ และอยู่ในชุดที่เปียกชื้นตลอดเวลา ยังอาจส่งผลให้เกิดอาการของเชื้อราจากความอับชื้น อาการผื่นแพ้ และอาการของโรคผิวหนังได้อีกด้วย ก่อนออกไปเล่นน้ำสงกรานต์ อย่าลืมเลือกเสื้อผ้าที่บาง แห้งง่าย และไม่หนาจนทำให้เกิดความอับชื้นเป็นเวลานานๆ และควรรีบเปลี่ยนเสื้อผ้าที่แห้งในทันที่ หลังเล่นน้ำสงกรานต์เสร็จ เพื่อให้มั่นใจว่าไม่มีอาการอับชื้นที่จะก่อให้เกิดอาการของโรคผิวหนัง และเชื้อรานะคะ

เอาล่ะค่ะ ทราบกันไปแล้ว ถึงอาการและโรคต่างๆ ที่ควรจะระมัดระวังในช่วงสงกรานต์ ก่อนออกไปเล่นน้ำกัน ขอให้ป้องกัน และดูแลสุขภาพกันให้พร้อมด้วย ที่สำคัญอย่าลืมทาครีมกันแดดแบบกันน้ำ ที่มีค่า SPF มากกว่า 50+ เพื่อป้องกันรังสี UV จากแสงแดดและ ดื่มน้ำสะอาดให้มากๆ เพื่อชดเชยกับน้ำที่ร่างกายเสียไปด้วยนะคะ สุขสันต์วันสงกรานต์ค่ะ ^^

ซัมเมอร์นี้ มาอวดแผ่นหลังเนียนสวยไร้สิวกันดีกว่า

สาวๆ หลายๆ คน คงจะเคยกลุ้มอกกลุ้มใจจากร่องรอยของสิวที่แผ่นหลังกันมาบ้าง ก็เจ้าสิวตัวร้ายมักจะชอบทิ้งร่อยรอยไว้ให้ปวดใจ แถมแฟชั่นสมัยนี้ก็ช่างขยันออกแบบมาให้ต้องโชว์ผิวสวยๆ โดยเฉพาะผิวเนียนๆ ด้านหลังเนี่ย ยิ่งพอเข้าช่วงหน้าร้อน ถึงเวลาอวดชุดบิกินี่ที่สะสมไว้ก็ไม่มั่นใจเพราะเจ้าจุดเล็กจากสิวเนี่ยล่ะ
วันนี้ ก่อนจะไปถึงวิธีการรักษา แก้ไข เราลองมาดูสาเหตุกันก่อนดีกว่าค่ะ ว่าสิวเหล่านี้มาเกิดที่หลังเราได้อย่างไร

ตัวการก่อสิวให้หลังลาย

“เสื้อผ้า” ลองสังเกตดูสิคะ เวลาเราใส่เสื้อผ้าตัวหนึ่งแล้วรู้สึกสบาย แต่อีกตัวกลับใส่แล้วไม่สบาย นั่นเป็นเพราะเนื้อผ้าของเสื้อผ้าแต่ละตัวที่แตกต่างกันค่ะ บางตัวสามารถระบายความร้อนได้ดี ซึ่งก็จะช่วยให้ผิวของเราไม่อับชื้น ไม่เกิดการหมักหมมของคราบเหงื่อไคล ไม่เกิดการอุดตันในรูขุมขน อันเป็นสาเหตุให้เกิดสิวที่บริเวณหลังของเรา ก่อนจะใส่เสื้อตัวไหน เลือกสักนิดนะคะว่าควรจะเป็นเสื้อผ่าที่ระบายความร้อนได้ดี

“เครื่องนอน” จะหมอน ผ้าห่ม หมอนข้าง ตุ๊กตาบนเตียง รวมทั้งหมดเลยหละค่ะ เพราะกับเครื่องนอนเหล่านี้เราต้องขลุกอยู่กับมันหลายชั่วโมงเลยทีเดียว วันๆ นึงเรานอนกินเวลาเฉลี่ยแล้ว 8 ชั่วโมง ถ้าเราไม่ทำความสะอาดบ่อยๆ เชื้อแบคทีเรียก็จะสะสม เกิดความสกปรกกับผิวของเรา อีกสาเหตุหนึ่งของสิวค่ะ

“แชมพู สบู่” แชมพูที่เราสระผมมักจะไหลลงมาสู่แผ่นหลังของเราโดยตรงค่ะ นั่นหมายถึงคราบสกปรกทั้งหลายก็ไหลลงมาด้วย การอาบน้ำสระผมที่ดีจึงควรสระผมเสียก่อน แล้วจึงค่อยถูสบู่ เพื่อล้างความสกปรกออกไปอีกครั้ง ไม่ทิ้งให้ผิวสะสมความสกปรกเอาไว้ เกิดเป็นปัญหาสิวตามมา สำหรับสบู่นั้น คนสวนใหญ่มักใช้สบู่เหลว แต่รู้ไหมคะว่าสบู่เหลวมักผสมสารเคมีที่ทำให้ล้างออกจากผิวได้ยากกว่าสบู่ก้อน ใครเป็นสิวที่หลังขอแนะนำให้ใช้สบู่ก้อนจะเหมาะกว่าค่ะ เพราะไม่ทิ้งสารเคมีตกค้างไว้ให้อุดตันผิวสวยๆ

“อาหารมันๆ” อาหารมันๆ ทอดๆ ทั้งหลายนี่ล่ะค่ะ ตัวการของผิวมัน เลือกรับประทานอาหารที่มีไขมันน้อยซักหน่อยนะคะ เพราะผิวมันจะทำให้ง่ายต่อการเกิดปัญหาสิ่งสกปรกเข้าไปอุดตันในผิว อีกสาเหตุสำคัญของสิวเลยล่ะค่ะ

พอจะรู้สาเหตุกันแล้วนะคะ ว่าสิวตัวร้ายมาปรากฏกายอยู่ที่หลังเราได้อย่างไร ทีนี้ก็ถึงเวลาแก้ปัญหา และป้องกันให้ถูกจุด บรรดาสิวทั้งหลายจะได้ไม่มาวุ่นวายกับเราอีก

“เสื้อผ้า” เลือกเสื้อผ้าที่มีเนื้อเบา โปร่งสบาย ระบายอากาศ เหมาะกับบ้านเมืองของเราที่มีอากาศร้อนชื้นค่ะ
“ผงซักฟอก” เลือกชนิดอ่อนๆ และล้างออกง่าย เพื่อที่จะได้ไม่ตกค้างที่เสื้อผ้าที่เราใส่
“สบู่” เลือกใช่สบู่ก้อนแบบป้องกันแบคทีเรีย ซึ่งจะช่วยยับยั้งตัวการที่ทำให้เกิดสิว
“ครีมนวดผม” ต้องเลือกแบบที่ไม่มีไขมัน หรือมีน้ำมันผสม เพราะถ้าล้างไม่หมดจะทำให้เกิดสิวตามมาแน่นอนค่ะ
“เช็ดผม” หลังอาบน้ำ สระผมเสร็จแล้ว สิ่งสำคัญคือการเป่าผม หรืเช็ดผมให้แห้งและอย่าให้ผมเปียกๆ ไปสัมผัสหลัง ความอับชื้นจะทำให้ผิวแพ้ง่ายค่ะ
“โทนเนอร์” ตัวช่วยที่ทำให้สิวหายเร็วขึ้น เพราะจะช่วยขจัดน้ำมันส่วนเกิน และทำให้ผิวสะอาดขึ้น อาบน้ำเสร็จลองใช้โทนเนอร์เช็ดแผ่นหลังบริเวณที่เป็นสิว แนะนำให้ใช้ตัวเดียวกับที่เราใช้กับผิวหน้านี่ล่ะค่ะ จะได้ไม่เกิดอาการระคายเคืองหรือแพ้ และอาจจะใช้ยาแต้มสิวตัวเดียวกับผิวหน้าของเราเพื่อช่วยลดอาการสิวอักเสบด้วยก็ได้ค่ะ

ผิวสวยๆ จำเป็นต้องได้รับการดูแลอย่างเหมาะสม ซัมเมอร์นี้ขอให้สาวๆ สนุกกับการอวดผิวและแผ่นหลังสวยๆ ต้อนรับลมร้อนกันให้เต็มที่เลยนะคะ

ทดแทนโปรตีนจากเนื้อสัตว์ ด้วยโปรตีนดีๆ จากพืช

p.jpg
ทุกวันนี้ผู้คนส่วนใหญ่เริ่มหันมาให้ความสำคัญกับการดูแลสุขภาพตนเองกันมากขึ้น เห็นได้จากการที่หลายๆ คน เริ่มที่จะเลือกทานอาหารที่เป็นประโยชน์ต่อร่างกายอย่าง Clean Food และ Raw Food รวมถึงหลีกเลี่ยงการทานเนื้อสัตว์อย่างเช่น การทานมังสวิรัติ กันเป็นประจำ
การหลีกเลี่ยงการรับประทานเนื้อสัตว์ดังกล่าว ทำให้โปรตีนจากพืชเป็นสิ่งจำเป็นต่อร่างกายมากขึ้น เพราะร่างกายของเราจำเป็นต้องใช้โปรตีนในการเสริมสร้างกล้ามเนื้อ ซ่อมแซมร่างกาย และใช้เป็นพลังงานเมื่อถึงคราวจำเป็น เรื่องราวสำหรับวันนี้ เลยขอเป็นเรื่องเกี่ยวกับแหล่งโปรตีนจากพืชที่ให้ประโยชน์กับร่างกาย นำมาฝากกันเพื่อเป็นทางเลือกในการสั่งอาหารจานโปรดครั้งต่อไป
ว่าแล้ว มาดูกันเลยค่ะ ว่าพืชผัก ผลไม้ ชนิดใด ให้โปรตีนดีๆ กับร่างกายเราบ้าง

อะโวคาโด้
มีคาร์โบไฮเดรตต่ำ น้ำตาลต่ำ ทว่า อุดมไปด้วยโปรตีน ไฟเบอร์ และสารอาหารที่มีประโยชน์ต่อร่างกายอย่างเช่น กรดไขมันชนิดที่ช่วยป้องกันโรคหัวใจ ลดไขมันในเส้นเลือดสำหรับผู้ที่เป็นโรคไขมันในเลือดสูง เหมาะกับผู้ป่วยโรคเบาหวาน รวมทั้งมีวิตามินต่างๆ อย่าง วิตามิน A วิตามิน B วิตามิน E สารแอนตี้อ็อกซิแดนท์ แร่ธาตุต่างๆ อย่าง โซเดียม โพแทสเซียม และโฟเลต ที่เหมาะกับหญิงตั้งครรภ์รวมทั้งเด็กอ่อนอีกด้วยค่ะ

มะพร้าว
มะพร้าวถือเป็นแหล่งโปรตีนที่มีอยู่ตามธรรมชาติ และเป็นโปรตีนที่ย่อยง่าย ร่างกายสามารถดูดซึมได้เร็ว และช่วยให้พลังงานกับร่างกายได้เป็นอย่างดี นอกจากนี้ มะพร้าว ยังมีวิตามินต่างๆ อย่าง วิตามิน C วิตามิน B กรดอะมิโน แคลเซียม แมกนีเซียม ฟอสฟอรัส โปแทสเซียม เหล็ก รวมทั้งไขมันที่เป็นประโยชน์ต่อร่างกายอีกมากมาย

ถั่วเหลือง
แหล่งโปรตีนที่มีราคาย่อมเยา แต่อุดมไปด้วยสารอาหาร และวิตามินที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย ทานแล้วอิ่มท้อง ทั้งยังให้พลังงาน และยังมีกรดไขมันไม่อิ่มตัวที่ช่วยลดระดับคอเลสเตอรอลในร่างกาย

ถั่วดำ
คุณสมบัติพิเศษของถั่วดำที่หลายๆ คนต้องติดใจก็คือ สามารถช่วยลดความอ้วนได้ เนื่องจากในถั่วดำมีสัดส่วนของโปรตีนถึง 40% และมีกรดไขมันไม่อิ่มตัว 20% ถั่วดำ อุดมไปด้วยสารลดความอ้วน และสารที่ช่วยกำจัดสารพิษ นอกจากนั้นยังมีแคลเซียมสูง ช่วยบำรุงกระดูกและฟันให้แข็งแรง และยังมีคุณค่าทางอาหารจาก วิตามิน B12 วิตามิน B9 กรดโฟลิก รวมทั้งธาตุเหล็กที่สูงกว่าเนื้อสัตว์ถึง 4 เท่า จึงเหมาะกับผู้เป็นโรคโลหิตจางเป็นพิเศษค่ะ

ลูกบัว
ธัญพืชที่มีคุณค่าทางอาหารสูง และมีโปรตีนมากกว่าข้าวถึง 3 เท่า เป็นแหล่งรวมของวิตามินและแร่ธาตุหลายชนิด อย่าง วิตามิน A วิตามิน C วิตามิน E เกลือแร่ และฟอสฟอรัส จึงช่วยบำรุงประสาท บำรุงไต และ บำรุงสมอง

ข้าวกล้อง
ธัญพืชที่มีไฟเบอร์สูง แถมยังมีโปรตีนอยู่ด้วย การทานข้าวกล้องมีประโยชน์ทั้งในเรื่องของคุณค่าทางอาหาร และระบบการขับถ่ายค่ะ

ข้าวโอ๊ต
มีโปรตีนน้อยกว่า 3% แต่มีเบต้ากลูแคน ที่ช่วยลดคอเลสเตอรอล และยังอุดมไปด้วยสารต้านอนุมูลอิสระ อย่างแมงกานีส และเซเลเนียม

กีนัว (Quinoa)
อีกหนึ่งธัญพืชที่อุดมไปด้วยโปรตีน และไฟเบอร์ ที่ในปัจจุบันมีคนนิยมนำมารับประทานกันมากขึ้น โดยสามารถนำไปทำขนมปังแทนแป้งสาลี หรือจะนำมาทำเมนูอร่อยๆ อย่างพาสต้า หรือแป้งประกอบอาหารต่างๆ ได้อีกด้วยค่ะ

การหลีกเลี่ยงการทานเนื้อสัตว์ในระยะยาว โดยไม่มีการรับสารอาหารประเภทโปรตีนจากแหล่งอาหารอื่น อาจมีผลทำให้ร่างกายขาดสารอาหารในการสร้างกล้ามเนื้อ ทำให้กล้ามเนื้อไม่แข็งแรง อ่อนเพลียง่าย รวมทั้งอาจทำให้ขาดแคลเซียมจนทำให้กระดูกบาง เปราะ ดังนั้น ใครที่หลีกเลี่ยงการรับประทานเนื้อสัตว์ อย่าลืมเลือกทานพืชผักที่อุดมไปด้วยโปรตีน เพื่อเติมพลังงานให้กล้ามเนื้อกลับมาแข็งแรง ไม่อ่อนแอ รวมทั้งทานแหล่งแคลเซียมจากธรรมขาติ เช่น งาดำ เพื่อสร้างสมดุลให้กับร่างกายอีกทางหนึ่งด้วยนะคะ