ทำอย่างไรดี … อยากมีน้องซักคน

ท้อง.jpg

อาจเป็นเพราะบทบาท หน้าที่การงาน ความเร่งรีบ หรือวิถีชีวิตที่เปลี่ยนไป ที่ทำให้การคิดจะมีลูกซักคน ในหลายๆ ครอบครัวที่แต่งงานไปแล้ว กลับกลายเป็นเรื่องยาก
ใครที่ยังไม่เจอกับปัญหานี้อาจจะไม่รู้สึกว่าเป็นเรื่องทุกข์ใจสักเท่าใหร่ แต่สำหรับคนที่อยากเป็นพ่อ-แม่ แล้วยังไม่มีวี่แววว่าจะมีเจ้าตัวน้อยสักที กลับเป็นการรอคอยที่ยาวนานมากๆ เลยล่ะ วันนี้เราเลยมีความรู้ดีๆ มาฝากกันค่ะ

รู้ไหมคะ ว่าปัญหาของการมีบุตรยากนั้น ประมาณ 40% เกิดจากฝ่ายชาย โดยเกิดจากการสร้างเชื้อที่ผิดปกติ ทำให้ไม่มีเชื้อ หรือได้เชื้ออสุจิที่คุณภาพไม่ดี มีจำนวนเชื้อน้อย เคลื่อนไหวน้อย หรือมีรูปร่างผิดปกติมาก วันนี้เราจึงขอเริ่มต้นที่การแก้ปัญหาในส่วนของฝ่ายชายกันก่อน การตรวจเชื้ออสุจิ เป็นวิธีหลักในการตรวจ ที่ใช้ในการวินิจฉัยภาวะมีบุตรยากในฝ่ายชาย องค์การอนามัยโลกได้กำหนดค่ามาตรฐานของอสุจิปกติเอาไว้ คือ ในการหลั่งอสุจิออกมาแต่ละครั้งจะต้องมีปริมาตรระหว่าง 2-6 มิลลิลิตร และมีฤทธิ์เป็นด่าง มีค่า pH ปกติอยู่ระหว่าง 7.2 – 8.5 และความเข้มข้นของตัวอสุจิในน้ำอสุจิควรจะมีมากกว่า 20 ล้านตัว / 1 มิลลิลิตร หากมีความเข้มข้นต่ำกว่านี้แล้ว จะพบว่าอัตราการตั้งครรภ์ตามธรรมชาติก็จะมีแนวโน้มที่จะลดลงด้วย ความก้าวหน้าทางการแพทย์ในปัจจุบัน สามารถช่วยให้ฝ่ายชายที่เป็นหมัน คือไม่มีตัวอสุจิในน้ำอสุจิ ซึ่งอาจมีสาเหตุมาจาก การอุดตันของท่อนำอสุจิ หรือการไม่มีท่อนำอสุจิมาตั้งแต่กำเนิด มีปัญหาในเรื่องของการหลั่ง ตัวอสุจิที่หลั่งออกมาตายหมด หรือมีการอักเสบของอัณฑะเนื่องจากเชื้อไวรัสคางทูม หรือเชื้ออื่นๆ ให้สามารถมีบุตรของตนเองได้ โดยการนำเอาตัวอสุจิออกมาใช้ในขบวนการอิ๊คซี่ ด้วยวิธีการต่อไปนี้ค่ะ
– พีซ่า (PESA = Percutaneous Epididymal Sperm Aspiration) คือ การใช้เข็ม แทงผ่านผิวหนังบริเวณอัณฑะเข้าไปในท่อพักน้ำเชื้อ แล้วดูดตัวอสุจิออกมา
– มีซ่า (MESA = Microsurgical Epiddymal Sperm Aspiration) คือ การผ่าตัดเข้าไปหาท่อพักน้ำเชื้อส่วน epididymis แล้วจึงใช้เข็มแทงเข้าไป และดูดตัวอสุจิออกมา
– ทีซ่า (TESA = Testicula Sperm Aspiration) คือ การใช้เข็มแทงผ่านผิวหนังบริเวณอัณฑะเข้าไปในลูกอัณฑะ แล้วดูดตัวอสุจิออกมา
– ทีซี่ (TESE = Testicular biopsy Sperm Extraction) คือ การผ่าตัดเอาเนื้ออัณฑะออกบางส่วน แล้วแยกตัวอสุจิที่ค้างอยู่ในเนื้ออัณฑะออกมา ทั้งหมดนี้เป็นส่วนหนึ่งที่จะนำไปสู่การแก้ปัญหาเรื่องการมีบุตรยากที่เกิดจากฝ่ายชายค่ะ

สำหรับอีกทางเลือก สำหรับผู้มีบุตรยาก ก็คือการปฏิสนธินอกร่างกาย (In vitro fertilization) ซึ่งก็คือการนำไข่และอสุจิมาผสมให้เกิดการปฏิสนธิกลายเป็นตัวอ่อนในห้องทดลอง หลังจากนั้นจึงนำตัวอ่อนที่เกิดขึ้นใส่กลับเข้าโพรงมดลูกของฝ่ายหญิง เพื่อให้เกิดการตั้งครรภ์
หลักการของการปฏิสนธินอกร่างกาย คือ การกระตุ้นไข่ในฝ่ายหญิง จากนั้นก็ต้องติดตามการเจริญเติบโตของไข่ และเก็บไข่ หลังจากนั้นนำไข่มาผสมกับเชื้ออสุจิในห้องทดลอง เพื่อให้เกิดการปฏิสนธิ โดยต้องควบคุมอุณหภูมิ ความชื้น ปริมาณก๊าซต่างๆ ในบรรยากาศให้เหมาะสม และใช้น้ำยาเลี้ยงตัวอ่อนที่เตรียมไว้เป็นพิเศษ ประมาณ 16-18 ชั่วโมงหลังการปฏิสนธิ จะเริ่มเกิดการแบ่งตัวเป็นตัวอ่อน และหลังจากนั้นอีก 24 ชั่วโมง จะมีการแบ่งตัวเป็นตัวอ่อนระยะ 2-4 เซลล์ และเป็นตัวอ่อนระยะ 8-12 เซลล์ ในอีก 24 ชั่วโมงต่อมา โดยจะทำการเลี้ยงตัวอ่อนต่ออีกประมาณ 3-5วัน จึงจะทำการย้ายตัวอ่อนกลับเข้าสู่โพรงมดลูก เพื่อให้มีการฝังตัวและเจริญเติบโตต่อไป
โดยปกติแล้ว ตัวอ่อนจะถูกใส่กลับจำนวน 2-3 ตัว ถ้ามีเหลืออยู่อีก และเป็นตัวอ่อนที่แข็งแรง ก็จะทำการแช่แข็งเก็บไว้ ให้ตัวอ่อนที่แช่แข็งสามารถนำมาใส่กลับได้อีกในรอบต่อไปของการรักษา

แล้วกรณีไหนบ้างที่เหมาะกับการทำการปฏิสนธินอกร่างกาย คุณหมอได้ให้ความรู้มาค่ะ ว่าผู้ที่เหมาะกับการทำการทำการปฏิสนธินอกร่างกาย ได้แก่
1. ฝ่ายหญิงมีความผิดปกติของท่อนำไข่ตีบหรือตันทั้งสองข้าง
2.ฝ่ายหญิงมีพังผืดในอุ้งเชิงกรานมาก และรักษาด้วยการผ่าตัดแล้วไม่ได้ผล
3.ฝ่ายหญิงมีภาวะเยื่อบุโพรงมดลูกเจริญผิดที่ และรักษาภาวะนี้แล้วด้วยวิธีอื่นไม่ได้ผล
4.เชื้ออสุจิฝ่ายชายคุณภาพไม่ดี ซึ่งรักษาด้วยวิธีอื่นแล้วไม่ได้ผล
5.ภาวะมีบุตรยากที่ไม่ทราบสาเหตุ

และเป็นธรรมดาค่ะ ใครที่หวังจะมีบุตร และถึงขนาดมาปรึกษาคุณหมอกัน ก็ย่อมตั้งความหวังไว้แล้วล่ะค่ะว่าจะได้เห็นหน้าลูกน้อยในเร็ววัน สำหรับอัตราความสำเร็จของวิธีดังกล่าวนั้น อยู่ที่ประมาณ 40-50% ค่ะ ทั้งนี้ขึ้นกับอายุของฝ่ายหญิงด้วย
รู้อย่างนี้แล้ว น่าจะช่วยเพิ่มความหวังให้กับผู้ที่อยากจะมีน้อง แต่รู้สึกว่าตัวเองอาจจะอยู่ในภาวะการมีบุตรยากให้ได้สบายใจมากขึ้นนะคะ เรื่องการมีบุตรยากเป็นปัญหาที่ละเอียดอ่อน และเฉพาะตัว ผู้ที่อยากได้คำปรึกษาเพิ่มเติม แนะนำให้ติดต่อเพื่อขอเข้าไปปรึกษากับคุณหมอโดยตรงจะดีที่สุดค่ะ ^^

ถึงขมจะเป็นยา ก็ใช่ว่าหวานจะเป็นแค่ลม… เรื่องหวานๆ อย่างมีคุณค่าของน้ำผึ้ง

หวานเป็นลม ขมเป็นยา อาจจะเป็นคำคุ้นหู ที่เราถูกปลูกฝังกันมาตั้งแต่เด็กๆ แต่วันนี้ เรื่องหวานๆ อาจจะไม่ได้เป็นแค่ลม หากแต่ มีประโยชน์มากมายอย่างที่เราอาจจะไม่เคยทราบกันมาก่อนเลย เรื่องหวานๆ ของน้ำผึ้งค่ะ

น้ำผึ้ง จัดได้ว่าเป็นอาหารที่ให้พลังงาน เนื่องจากมีสารอาหารประเภทคาร์โบไฮเดรตเป็นหลัก โดยหากเรานำปริมาณน้ำ และความชื้นออกแล้ว ก็จะพบว่า ร้อยละ 95-99 ของน้ำผึ้ง คือน้ำตาลชนิดต่าง ๆ นั่นเองค่ะ ทั้งน้ำตาลที่อยู่ในรูปของฟรุกโทส และกลูโคส ซึ่งเป็นน้ำตาลโมเลกุลเดี่ยว ที่ร่างกายสามารถดูดซึมไปสร้างพลังงานได้ทันที การดื่มน้ำผึ้ง จึงเป็นการเพิ่มความสดชื่นและให้พลังงานในขณะที่ร่างกายอ่อนล้า หรืออ่อนเพลียได้อย่างรวดเร็ว

แต่ประโยชน์ของน้ำผึ้ง ไม่ได้มีเพียงแค่การให้พลังงานจากน้ำตาลหรอกค่ะ เพราะน้ำผึ้งยังอุดมไปด้วยแร่ธาตุที่มี่คุณค่าทางโภชนาการมากมาย ทั้ง ฟอสฟอรัส โพแทสเซียม แมกนีเซียม แคลเซียม โซเดียม แมงกานีส สังกะสี เหล็ก และ ทองแดง โดยมีปริมาณแร่ธาตุต่างๆ อยู่ประมาณ 0.17% ซึ่งเป็นสัดส่วนที่เหมาะสมต่อร่างกายเป็นอย่างมาก จึงเป็นทางเลือกที่เราอาจจะใช้น้ำผึ้ง เป็นสารให้ความหวานแทนน้ำตาลได้เป็นอย่างดีเลยล่ะค่ะ เพราะนอกเหนือจากคุณค่าทางโภชนาการที่ได้แล้ว รสชาติและกลิ่นอันเป็นเอกลักษณ์ของน้ำผึ้ง ยังเป็นส่วนที่ไม่สามารถทดแทนได้โดยน้ำตาลที่ผ่านกระบวนการการผลิต และการฟอกขาวเลยล่ะค่ะ

คุณค่าของน้ำผึ้ง นอกจากในส่วนของแร่ธาตุแล้ว ยังรวมถึงวิตามินที่อยู่ในน้ำผึ้ง ทั้งวิตามินซี วิตามินบี 1 วิตามินบี 2 วิตามินบี 6 หรือที่อาจจะเรียกว่าเป็นกลุ่มวิตามินบีคอมเพล็กซ์ รวมถึงมีกรดที่เป็นประโยชน์ต่อร่างกายอีกมากมาย ซึ่งรวมถึงกรดกลูโคนิก ซึ่งเป็นสารต้านอนุมูลอิสระ ช่วยชะลอความเสื่อมของร่างกายได้เป็นอย่างดีเลยทีเดียว

เอาล่ะค่ะ ได้ทราบถึงข้อดีของน้ำผึ้งกันไปพอสมควรแล้ว แต่จะบอกว่า ยังไม่หมดนะคะ กับคุณค่าของน้ำผึ้งหยดน้อยๆ เพราะนอกเหนือจากประโยชน์ต่อร่างกาย ในส่วนของคุณค่าทางโภชนาการแล้ว น้ำผึ้ง ยังมีคุณสมบัติดีๆ ในด้านความงามอีกหลายอย่างเลย มาดูกันค่ะ ว่ามีอะไรบ้าง

อย่างแรกที่ทำกันได้ง่ายๆ เลย สำหรับสาวๆ ที่มีปัญหาเรื่องสิวอักเสบ ให้นำน้ำผึ้งมาแต้มที่สิว ทิ้งไว้ 10-15 นาทีแล้วล้างออกด้วยน้ำสะอาด น้ำผึ้งมีคุณสมบัติต่อต้านเชื้อแบคทีเรียค่ะ ค่อยๆ แต้มเป็นประจำ ไม่นานสิวที่อักเสบจะเริ่มยุบ โดยไม่ทิ้งร่องรอยไว้ให้กลุ้มใจอีกด้วย เป็นการแก้ปัญหาสิวแบบธรรมชาติที่ไม่ต้องใช้ยาหรือสารเคมี โดยน้ำผึ้งยังสามารถช่วยลดริ้วรอยของแผลเป็นให้จางลง รักษาแผลสด ให้บาดแผลหายเร็วขึ้น จากคุณสมบัติที่สามารถเปลี่ยนให้เป็นไฮโดรเจนเพอร์ออกไซด์แบบอ่อนๆ ที่จะช่วยสมานรักษาแผลให้หายเร็วขึ้นค่ะ

ด้วยความที่น้ำผึ้งอุดมไปด้วยอาหารผิวหลากหลายชนิด จึงมักจะถูกนำมาใช้เป็นส่วนผสมในการดูแลผิวพรรณ และเส้นผมกันอีกด้วย โดยในสูตรการทำมาส์กหน้าหลายๆ สูตร ก็มักจะมีน้ำผึ้งเป็นส่วนผสมเพื่อเติมความชุ่มชื้นให้ผิวกัน และ ผลิตภัณฑ์ลดริ้วรอยของแบรนด์ดัง หลายๆ แบรนด์ ก็มักจะมีส่วนผสมของน้ำผึ้งจากคุณสมบัติของสารแอนตี้ออกซิแดนท์ในน้ำผึ้งที่ช่วยลดการเกิดริ้วรอยได้เป็นอย่างดี

นำมาฝากกันอีกซักหน่อย สำหรับสาวๆ ที่อยากจะมีสูตรการดูแลเส้นผมแบบโฮมเมด ไร้สารเคมี ก็สามารถนำน้ำผึ้ง 1 ช้อนชา เทลงไปในน้ำอุ่น 4 ถ้วย และน้ำมะนาวอีก 1 ช้อนชา ผสมให้เข้ากัน ใช้ส่วนผสมชโลมลงบนเส้นผมหลังการสระ แล้วนวดให้ทั่ว โดยไม่ต้องล้างออก ปล่อยให้เส้นผมแห้งตามธรรมชาติ ก็จะรู้สึกได้ถึงสุขภาพผมที่ดีขึ้น ทั้งนุ่ม และมีน้ำหนักมากขึ้น หรืออีกวิธีหนึ่ง อาจใช้ น้ำผึ้ง 1 ช้อนชา ผสมกับน้ำมันมะกอก 2 ช้อนชา นำไปนวดเส้นผมให้ทั่ว ทิ้งไว้ 20-30 นาทีแล้วล้างออก ก็ให้ผลดีไม่แพ้กันค่ะ

น้ำผึ้งยังสามารถนำมาใช้ เพื่อให้ริมฝีปากเนียนนุ่มขึ้น โดยผสมน้ำผึ้ง 1 ช้อนชา กับน้ำตาลทรายแดง 1 ช้อนชา บีบมะนาวเล็กหน่อย แล้วผสมให้ละลายจนเข้ากัน นำมาทาที่ริมฝีปาก และถูเบา ๆ ก่อนทิ้งไว้ซักพัก แล้วล้างออกด้วยน้ำสะอาด ทำเป็นประจำ ก็จะช่วยให้ริมฝีปากชุ่มชิ้น และนุ่มนวลได้ค่ะ

น้ำผึ้งยังสามารถนำมาใช้บำรุงเล็บ โดยใช้น้ำผึ้ง 1 ช้อนชา ผสมกับน้ำส้มสายชู 1 ข้อนชา ทาลงบนเล็บทิ้งไว้ 5-10 นาที แล้วล้างออก หรือจะนำน้ำผึ้ง 1 ช้อนชา มาผสมกับน้ำแร่อุ่นๆ ในสัดส่วนเดียวกัน แล้วนำสำลีชุบ มาวางไว้รอบๆ ดวงตา ประมาณ 10-15 นาที ทำอย่างนี้ประมาณ 2-3 ครั้งต่อสัปดาห์ ก็จะชวยลดรอยหมองคล้ำรอบดวงตาได้อีกด้วยล่ะค่ะ

เป็นอย่างไรกันบ้าง กับสรรพคุณของน้ำผึ้งในแบบที่เชื่อว่าหลายๆ คนนึกไม่ถึงกันเลยทีเดียว อย่าลืมนำไปใช้กันนะคะ แล้ววันนี้ เรื่องหวานๆ โดยเฉพาะน้ำผึ้ง จะไม่ได้เป็นแค่ลมอีกต่อไปแล้วล่ะค่ะ

ระบบไหนในร่างกาย ทำงานช่วงไหนกันบ้าง

อวัยวะต่างๆ ในร่างกายของเรานั้น มีหน้าที่การทำงานตามเวลาที่แตกต่างกันไป เช่นเดียวกับคนเรานี่ล่ะค่ะ ที่ตอกบัตรเข้าทำงานในเวลาที่ต่างกัน แต่อวัยวะต่างๆ ภายในร่างกายของเรามีเวลาในการทำงานที่สม่ำเสมอและแน่นอนกว่า และยังต้องรับช่วงต่อกันอย่างเป็นระบบแบบแผนด้วย วันนี้ มาทำความเข้าใจกับเรื่องของอวัยวะภายในร่างกายของเรากันซักหน่อยค่ะ

ไต : อวัยวะที่ทำหน้าที่กรองของเสียออกจากเลือดและขับออกพร้อมกับน้ำในรูปของปัสสาวะ ไตของเราจะทำงานในช่วงเย็นๆ คือเวลา 17.00 น. – 19.00 น. เราจะช่วยไตให้ทำงานได้อย่างเต็มที่โดยการไม่รับประทานอาหารในปริมาณมากๆ ในช่วงเวลานี้ เพราะหากเรารับประทานอาหารในปริมาณที่มาก เลือดในร่างกายจะถูกดึงไปใช้เพื่อย่อยอาหารที่บริเวณกระเพาะ และม้าม แทนที่จะไปหล่อเลี้ยงไตที่กำลังขับของเสียออกจากร่างกาย

ถุงน้ำดี : อวัยวะที่ทำหน้าที่ในการเก็บสะสมน้ำดี (bile) เพื่อช่วยในการย่อยอาหาร โดยจะมีโครงสร้างที่ติดต่อกับตับซึ่งเป็นอวัยวะที่ผลิตน้ำดี และลำไส้เล็กตอนต้น ซึ่งเป็นบริเวณที่มีการปล่อยน้ำดีออกสู่ทางเดินอาหาร ช่วงเวลาที่หลอดเลือดแดงจะนำออกซิเจนมาเลี้ยงถุงน้ำดีเพื่อให้ถุงน้ำดีทำงานได้อย่างเต็มอยู่ในช่วงเวลาระหว่าง  23.00 – 01.00 น. และจะส่งต่อให้ตับรับช่วงต่อสำหรับการทำงานในช่วงเวลา 01.00 – 03.00 โดยในช่วงเวลานี้ร่างกายของเราควรได้รับการพักผ่อนอย่างเต็มที่เพื่อให้ร่างกายขับของเสียออกจากร่างกายได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุดค่ะ

ปอด ต้นทางของการรับออกซิเจนโดยการหายใจ การหายใจเป็นการนำน้ำและก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ออกจากเซลล์เข้าสู่หลอดเลือดและเลือดจะทำหน้าที่ลำเลียงไปยังปอด จากนั้นปอดจะทำหน้าที่กรองลิ่มเลือดเล็ก ๆ ที่ตกตะกอนออกจากเส้นเลือดดำ การทำให้ปอดแข็งแรงนั้นต้องหมั่นออกกำลังกาย เพื่อให้ปอดขยันทำงาน และช่วงเวลาที่เหมาะสำหรับการออกกำลังกายเพื่อให้ปอดแข็งแรงคือช่วงเช้า เวลาประมาณ 5.00 น และช่วงบ่ายประมาณ 15.00 – 17.00   น.

การดูแลร่างกายจากภายในไม่ใช่เรื่องยากเลยค่ะ เพียงรู้จักช่วงเวลาในการทำงานของส่วนต่างๆ เพื่อบริหารการทำงานของระบบอวัยวะภายในให้มีประสิทธิภาพสูงสุดก็จะช่วยให้ร่างกายแข็งแรงและห่างไกลโรคแล้วล่ะค่ะ

หลับสนิท ง่ายๆ แค่ปรับพฤติกรรม

เรื่องนอน ไม่เคยเป็นเรื่องยากสมัยที่เรายังหนุ่มๆ สาวๆ กันอยู่ แต่ทำไม พอเริ่มเข้าสู่ช่วงปลายเลขสาม กำลังจะข้ามไปสู่หลักสี่ ตกดึก อยากจะนอน ทำไมถึงได้หลับยากกว่าที่เคยเป็น

คนเราควรได้รับการพักผ่อนจากการนอนอย่างน้อย 8 ชั่วโมงต่อวัน เพื่อให้ไม่เกิดความเหนื่อยล้า สะสม และยังเป็นช่วงเวลาของการซ่อมแซมส่วนของร่างกายที่สึกหรอ ให้เราได้สร้างฮอร์โมนที่จำเป็น ให้อวัยวะภายในต่างๆ ได้พักจากการทำงานหนัก หรืออย่างน้อยก็ได้ทำงานเบาลงบ้าง รวมถึงให้ระบบต่างๆ ได้ปรับสมดุลหลังจากความเร่งรีบในวันที่ผ่านมาอีกครั้ง ทว่าหลายๆ ครั้ง การนอน กลับไม่ได้ง่ายอย่างที่คิด

วันนี้ มาว่ากันด้วยเรื่องของการนอน ช่วงเวลาสำคัญที่ร่างกายจะได้หยุดพักกันซักหน่อยค่ะ ว่ามีเคล็ดลับดีๆ อะไรบ้าง ที่จะช่วยให้การนอนของเรา เป็นไปอย่างมีระบบ ไม่มีปัญหาการนอนหลับยาก และเป็นการนอนที่ร่างกายได้พักผ่อนอย่างแท้จริง

ก่อนอื่น มาทำความรู้จักกับฮอร์โมนเมลาโทนิน กันก่อนค่ะ ฮอร์โมนเมลาโทนิน เป็นฮอร์โมนที่หลั่งจากต่อมไพเนียล โดยจะถูกกระตุ้นโดยความมืด และระงับด้วยแสงสว่าง เป็นฮอร์โมน ที่มีผลโดยตรงกับการง่วงนอนของเราล่ะค่ะ เมื่อฮอร์โมนเมาลาโทนินถูกหลั่งออกมามากก็จะทำให้เกิดอาการง่วงมากขึ้น เช่นในสถานที่ที่มีแสงสลัว หรือช่วงพลบค่ำ และหากเมื่อเราได้รับแสงสว่าง ออร์โมนชนิดนี้ก็จะหลั่งออกมาน้อยลง เราก็จะรู้สึกสดชื่น หายง่วงนอนนั่นเอง โดยที่การหลั่งของเมลาโทนินในรอบวัน เริ่มต้นจากในเวลากลางคืนจะมีการสร้างเมลาโทนินมาก ตั้งแต่เวลา 2100-22.00 น. และมีการสร้างมากขึ้นเรื่อยๆจนถึงระดับสูงสุดเวลา 02.00-04.00 น. จากนั้น จึงจะค่อยลดลงเรื่อยๆจนกระทั่งเวลาประมาณ 07.00-08.00 น .

ฮอร์โมนเมลาโทนิน นี้ ก็คือปัจจัยหลัก ของการง่วงนอนเลยค่ะ แปลว่า เมื่อเราต้องการจะพักผ่อน เราก็ไม่ควรทำอะไรที่เป็นการยับยั้ง หรือปิดกั้นการหลั่งของฮอร์โมนชนิดนี้ โดยพฤติกรรมที่มีผลต่อการยับยั้งการหลั่งของฮอร์โมนเมลาโทนิน ก็คือพฤติกรรมที่เกี่ยวข้องกับแสงสว่างค่ะ ทั้งความสว่างของแสงไฟภายในห้องนอน การใช้คอมพิวเตอร์ก่อนนอน การดูโทรทัศน์รอบดึก หรือแม้แต่การใช้อุปกรณ์แท็บเลต และโทรศัพท์มือถือ เพราะทั้งหมดมีส่วนของแสง ซึ่งจะทำให้ร่างกายแปรเป็นสัญญาณไปสั่งการให้ร่างกายหลั่งฮอร์โมนเมลาโทนินออกมาน้อยลง ดังนั้น ก่อนเข้านอนอย่างน้อย 2 ชั่วโมง ควรหลีกเลี่ยงการนั่งอยู่หน้าจอคอมพิวเตอร์ที่สว่างจ้า ปรับเวลาการรับชมรายการโทรทัศน์ช่วงค่ำ และดูแลให้แสงสว่างในห้องนอนไม่สว่างจนเกินไปค่ะ

นอกเหนือจากเรื่องของฮอร์โมนเมลาโทนินแล้ว การเตรียมตัวก่อนการเข้านอน และพฤติกรรมในระหว่างวัน ก็เป็นสิ่งสำคัญค่ะ สิ่งที่ควรให้ความสำคัญ เพื่อให้เราสามารถนอนพักผ่อนได้อย่างเต็มที่ ยังรวมถึงการเลี่ยงอาหารมื้อหนักก่อนเข้านอน พยายามออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ พยายามรักษาตารางการนอนให้สม่ำเสมอในช่วงเวลาเดิมของทุกวัน และที่สำคัญ ลองหัดฝึกให้จิตใจสงบลงก่อนนอนด้วยค่ะ หลายๆ คนอาจมีวิธีการของตัวเอง แต่ที่แน่ๆ เราจะนอนหลับได้ง่าย และสนิทขึ้น หากจิตใจของเราสงบลงก่อนที่เราจะเข้านอนค่ะ

เอาล่ะค่ะ รู้วิธีนอนหลับให้เต็มที่กันไปแล้ว คืนนี้ อย่าลืมนำไปใช้กันนะคะ จะได้ให้ร่างกายของเราที่เหน็ดเหนื่อยกันมาทั้งวันแล้ว ได้พักอย่างเต็มที่ ….
สำหรับค่ำคืนที่กำลังจะมาถึง นอนหลับฝันดี ราตรีสวัสดิ์ค่ะ ^^

นอนดึกเป็นประจำ.. มาดูแลสุขภาพกันซักหน่อย

It may not be the best strategy to stay up late and cram. A new study finds that when teens don’t get the sleep they need, all kinds of things can go poorly.

“การนอนดึกทำให้เสียสุขภาพ” “นอนดึกไม่ดีโทรมเร็ว” รู้ทั้งรู้ ว่าการนอนดึกนั้นส่งผลเสียต่อสุขภาพสัญญาณเบื้องต้นอาจเริ่มจากอาการมึนหัว ขอบตาคล้ำ ผิวพรรณไม่สดใส เป็นหวัดง่าย ภูมิแพ้กำเริบ ทานอาหารเยอะขึ้น ไปจนถึงเรื่องของระบบต่างๆ ภายในร่างกายที่พลอยจะรวนไปเสียหมด อย่างเช่นเรื่องระบบการย่อยอาหาร ระบบการเผาผลาญและการดูดซึมสารอาหารที่ทำงานได้ไม่เต็มที่ รวมไปถึงฮอร์โมนบางตัวอย่างเช่น growth hormone ที่จะลดปริมาณการหลั่งจนส่งผลให้ร่างกายเสื่อมโทรมอย่างรวดเร็วอีกด้วย
เราจึงไม่แนะนำให้นอนดึก แต่บางอาชีพก็เลี่ยงไม่ได้ จำเป็นต้องนอนดึกนี่นา จะทำอย่างไรได้ วันนี้เราเลยมีความรู้ด้านโภชนาการที่เป็นประโยชน์สำหรับคนนอนดึกโดยเฉพาะมาฝากกัน ลองมาดูประโยชน์ของอาหารแนะนำแต่ละประเภทกันนะคะ

– โปรตีนสีขาว อย่างเนื้อปลา อกไก่ ไข่ขาว เต้าหู้ : โปรตีนเหล่านี้จะช่วยในเรื่องการสร้างเคมีในสมองอย่าง โดพามีน เอพิเนฟริน ที่จำเป็นในการบำรุงสมองของคนที่นอนดึก

– ถั่วเหลือง ไข่แดง : ร่างกายต้องการสารเคมีที่ทำงานเชื่อมโยงกันภายในสมองนั่นก็คือ “โคลีน” ซึ่งโคลีนนี้ จะช่วยในเรื่องความจำ ช่วยป้องกันอาการความจำเสื่อม ช่วยให้มีสมาธิดีขึ้น ความจำดีขึ้น นอกจากนั้นในไข่แดงยังมี ไบโอตินที่ช่วยบำรุงสมองและเส้นผมอีกด้วย

– ข้าวกล้องงอก และธัญพืชต่างๆ เช่น พืชตระกูลถั่ว ข้าวบาเลย์ มอลต์ หรือลูกเดือย : อาหารประเภทนี้จะมีกาบ้าสูง ทำให้ตัวสื่อประสาทในสมองทำงานดีขึ้น ความจำก็จะดีขึ้นด้วย

– ปลา : สมองต้องการโอเมก้า หรือน้ำมันปลา เมนูที่มีน้ำมันปลาสูงและหาทานได้ง่ายๆ ก็อย่างเช่น ปลาทู หรือใครอยากจะเลือกทานอาหารเสริมก็ควรเลือกที่ทำมาจากปลาทะเล สังเกตปริมาณของ DHA รวมถึง EPA ที่มีอยู่จริงเทียบต่อปริมาณทั้งหมด ทั้งคู่ต้องมีมากกว่า 20% และในหนึ่งเม็ดควรจะมีสัดส่วนปริมาณของ DHA : EPA เป็น 1:2 หรือ 2:3 ที่เป็นส่วนผสมที่ออกฤทธิ์อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด

– ช็อคโกแลต : แนะนำเป็นช็อคโกแลตดำนะคะ เพราะในช็อคโกแลตจะมีส่วนผสมของสารที่ช่วยให้เลือดในสมองไม่อุดตัน

– สารสกัดจากใบแปะก๊วย : เพราะใบแปะก๊วยมีสารแอนตี้ออกซิเดนท์ ช่วยต้านอนุมูลอิสระ ป้องกันมะเร็ง ช่วยในเรื่องการไหลเวียนของเลือดที่จะไปเลี้ยงสมอง ช่วยให้ความจำดีขึ้น และยังช่วยยับยั้งความเสื่อมของสมองได้อีกด้วย

– วิตามิน B : คุณสมบัติของวิตามิน B คือ ช่วยในเรื่องระบบประสาท ช่วยลดอาการอ่อนเพลีย และช่วยให้การดูดซึมอาหารดีขึ้น ช่วงไหนที่มีอาการง่วงๆ มึนๆ วิตามิน B ช่วยได้เลยค่ะ

อย่างไรก็ตาม อาหารเหล่านี้เป็นเพียงตัวช่วยที่จะช่วยฟื้นฟูร่างกาย ทั้งในส่วนของสมองและระบบประสาทให้ดีขึ้น กระนั้นการฝืนธรรมชาติย่อมไม่ใช่เรื่องที่ดี เพราะร่างกายของเรามีนาฬิกาธรรมชาติที่บอกการทำงานของอวัยวะส่วนต่างๆ ในร่างกายอยู่ การดูแลตัวเองให้เข้ากับธรรมชาติจึงจะเป็นทางออกที่ดีที่สุดค่ะ