3D X-Ray เพื่อสุขภาพฟันที่ดีกว่าที่เคย

tooth.jpg
วิทยาการและเทคโนโลยีพัฒนามาเพื่ออำนวยความสะดวกให้ชีวิตมุนษย์สะดวกสบายขึ้น ชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น วิทยาการทางการแพทย์ก็พัฒนา แก้ไขข้อบกพร่อย รักษาโรคร้ายแรง จนมนุษย์มีชีวิติท่ายืนยาวขึ้น นอกจากนั้นเทคโนโลยียังถูกพัฒนาในเชิงลึก ให้ครอบคลุมทุกๆ ด้านในชีวิตมนุษย์ อย่างในวงการทันตรรมก็ก้าวไปไม่หยุดเช่นเดียวกันค่ะ

การรักษาฟันเป็นเรื่องเฉพาะบุคคลมากค่ะ เพราะทุกๆ คนมีอัตลักษณ์ในช่องปาก ไม่ว่าจะเป็นฟันกราม เขี้ยว ฟันหน้า รวมถึงขากรรไกร รูปหน้าที่แตกต่างกันไปหมด การดูแลรักษาฟันจึงต้องใช้ “ข้อมูล” เป็นหัวใจสำคัญในการวิเคราะห์และรักษาให้เหมาะสมกับบุคคลนั้นๆ

สิ่งที่ตอบโจทย์ และสามารถให้ข้อมูลเราได้แบบลึกซึ้งและเปิดเผยมากที่สุดก็คือการเอ็กซเรย์ นั่นเองค่ะ เมื่อก่อนหล่ยๆ ท่านอาจเคยเจอกับระบบเอ็กเรย์ที่ให้ภาพรากฟันปรากฏอยู่บนแผ่นฟิล์ม ซึ่งเป็นเพียงมิติในแนวระนาบ ที่คุณหมอฟันต้องใช้จินตนาการไปอีกเยอะทีเดียวในการรักษาฟัน

แต่ปัจจุบัน วงการทันตรรมพัฒนาไปมาก โดยได้นำเทคโลโลยีการเอ็กซเรย์แบบ 3 มิติมาใช้

การเอ็กซเรย์แบบ 2 มิติ เราอาจะทราบข้อมูลที่จำกัด อย่างรอยฟันผุ ความผิดปกติของเหงือก รูปร่าง ความลึกของของรากฟัน แต่การเอ็กซเรย์ในแบบ 3 มิติ จะทำให้เราเห็นภาพความเชื่อมโยงในลักษณ์ของโครงสร้างกระดูกและฟัน ส่วนต่างๆ ที่มีความสัมพันธ์กันทุกๆ ชิ้น

อย่างเช่น โครงสร้างใบหน้าว่าด้านซ้ายและขวา ว่ามีความสมดุลหรือเอียงไปด้านใดด้านหนึ่งทำให้ฟันสึกเพียงด้านใดด้านหนึ่งหรือไม่ , ความสัมพันธ์ของกระดูกขากรรไกรบนและล่าง , การเรียงตัวของฟันบนขากรรไกร ฟันคุด ฟันเกิน หรือความผิดปรกติที่อยู่บนขากรรไกร , ทราบแนวการวางตัวของเส้นปราสาทฟันในขากรรไกรล่าง , ตำแหน่งของโพรงอากาศในขากรรไกรบน รวมไปถึงมุมของฟันในทุกๆ มิติ

ข้อมูลที่ได้เหล่านี้ทำให้สามารถหล่อขึ้นมาเป็นตัวอย่างสภาพฟันที่เหมือนจริงในทุกมิติ ทำให้ทันตแพทย์วิเคราะห์และรักษาได้ครอบคลุมทุกแขนงไม่ว่าจะเป็นครอบฟัน สะพานฟัน รากเทียม ฟันปลอมถอดได้และจัดฟัน และ เพื่อวางแผนทางด้านจัดฟัน รวมทั้งข้อมูลที่ได้เป็นข้อมูลรูปแบบดิจิทัล ที่สามารถเรียกดูข้อมูลได้สะดวกและรวดเร็วอีกด้วย

หากสนใจอยากทราบข้อมูลเพิ่มเติม เพื่อการรักษาฟันในลักษณะนี้ ลองติดต่อไปที่ STARDENT DENTAL CLINIC คลินิกทันตกรรมสตาร์เด็นท์ เพื่อสุขภาพช่องปากและฟัน ชั้น 2  อาคารไลฟ์เซ็นเตอร์ คิวเฮ้าส์ลุมพินี ได้ค่ะ

ผักสดๆ กับเรื่องควรระวัง

veg.jpg
คนรักสุขภาพอย่างเราๆ ถ้าเลือกได้คงเลือกที่จะทานผัก ผลไม้ มากกว่าอาหารประเภทเนื้อสัตว์ แป้ง หรืออาหารมันๆ กันเป็นแน่ ก็ผักใบเขียวทั้งหลาย นอกจากจะมีไฟเบอร์สูง ไม่ทำให้อ้วนแล้ว ยังอุดมไปด้วยแร่ธาตุ และวิตามินอีกมากมายเลย วันนี้ เราจึงมีเรื่องราวสั้นๆ เกี่ยวกับผักสดมาฝากกันค่ะ
จริงอยู่ ที่ผักสดๆ ย่อมคงคุณค่าทางอาหารไว้ได้ครบถ้วน ให้ประโยชน์มากกว่าผักที่ผ่านการะบวนการปรุงด้วยความร้อนสูง ทำให้เรามักจะเลือกทานผักสดๆ กันเมื่อมีโอกาส แต่ทราบกันหรือไม่คะ ว่าการทานผักบางชนิด โดยไม่ผ่านการปรุงด้วยความร้อน และทานในปริมาณมากๆ กลับจะส่งผลเสียให้กับร่างกายเราได้ มาดูกันดีกว่าค่ะว่ามีอะไรบ้าง

ถั่วงอก แม้ว่าถั่วงอกจะมีคุณค่าทางอาหารสูง ทั้งมีโปรตีน วิตามินซี วิตามินบี 12 ธาตุเหล็ก และ เลซิธิน แต่การทานถั่วงอกดิบก็ควรจะทานในปริมาณที่พอเหมาะเท่านั้น เพราะในถั่วงอกดิบมีสารไฟเตต ที่จะส่งผลในการขัดขวางการดูดซึมสารบางชนิดเข้าสู่ร่างกาย
ไฟเตต มีลักษณะคล้ายฟองน้ำ ซึ่งจะไปจับ หรือดูดซับธาตุแคลเซียม เหล็ก สังกะสี และฟอสฟอรัส เมื่อรับประทานเข้าไปมาก ๆ ร่างกายจะไม่สามารถดูดซึมแร่ธาตุเหล่านี้ได้ค่ะ สารไฟเตตนี้ นอกจากจะพบในถั่วงอกแล้ว ยังพบได้ในผักใบเขียว เช่น ผักคะน้า ขี้เหล็ก ผักโขม ซึ่งกลิ่นเหม็นเขียวที่เราพบในผักนั่นแหละค่ะ คือ กลิ่นของไฟเตต โดยวิธีทานผักเหล่านี้ให้ประโยชน์เต็มที่ ก็สามารถทำได้ง่ายๆ ด้วยการปรุงให้สุกค่ะ เพราะเมื่อโดนความร้อน สารไฟเตตก็จะสลายไป ไม่ต้องกังวลว่าร่างกายจะไม่สามารถดูดซับสารอาหารได้เต็มที่อีก

ถั่วฝักยาว แม้ว่าในถั่วฝักยาวจะมีไฟเบอร์สูง มีแคลเซียม ฟอสฟอรัส วิตามินซี โปรตีน และมีธาตุเหล็ก แต่การทานถั่วฝักยาวดิบมากจนเกินไป ก็อาจทำให้ท้องอืดได้ เพราะในถั่วฝักยาวดิบจะมีก๊าซสูง โดยเฉพาะก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ มีเทน และ ซัลเฟอร์ไดออกไซด์ ซึ่งอาการท้องอืดดังกล่าว เกิดจากกระบวนการย่อยเมล็ดและเปลือกของถั่วฝักยาวโดยแบคทีเรียในลำไส้ใหญ่ค่ะ

ผักตระกูลกะหล่ำ และตระกูลหอม ซึ่งรวมถึง กะหล่ำปลี กะหล่ำดอก บร็อกโคลี คะน้า หัวหอม กระเทียม ผักในกลุ่มนี้จะมีสารกอยโตรเจน (goitrogen) เป็นสารมีฤทธิ์ในการยับยั้งการสร้างฮอร์โมนในต่อมไทรอยด์ทำให้ร่างกายนำไอโอดีนในเลือดไปใช้ได้น้อยกว่าปกติ หากรับประทานผักผลไม้ที่มีสารชนิดนี้มากเกินไปอาจจะทำให้มีอาการท้องอืด และทำให้ร่างกายได้ขาดสารไอโอดีนจนทำให้เป็นโรคคอพอกได้ในระยะยาว อย่างไรก็ตาม สารกอยโตรเจนนี้ จะสลายตัวอย่างรวดเร็วเมื่อโดนความร้อน การทานผักในกลุ่มนี้ จึงควรปรุงให้สุกก่อนค่ะ

หน่อไม้-มันสำปะหลัง จะมีสารไซยาไนด์ ในรูปของ ไกลโคไซด์ ซึ่งจะมีผลต่อระบบประสาท ทำให้มีอาการคลื่นไส้ อาเจียน อ่อนเพลีย มึนงง หมดสติ หรืออาจรุนแรงถึงขั้นหัวใจหยุดทำงานได้เลยทีเดียว การทาหน่อไม้ หรือมันสำปะหลัง ควรจะนำไปปรุงสุก หรือนำไปต้มน้ำทิ้งก่อนนำมาปรุงอาหารต่อไป

ที่กล่าวมาทั้งหมด ไม่ได้หมายความว่าผักเหล่านี้ไม่ควรทานนะคะ เพียงแต่ว่า การทานในปริมาณมากๆ อาจะเป็นผลเสียต่อสุขภาพของเราได้ แต่วิธีแก้ไขก็ทำได้ไม่ยากเลย เพียงนำไปปรุงให้สุกก่อน เพียงเท่านี้ เราก็ยังจะได้รับทั้งไฟเบอร์ สารอาหาร และวิตามินที่มีอยู่โดยไม่ต้องกังวลกับเรื่องสารหลายๆ ชนิดที่มีในผักสดกันแล้วค่ะ
เอาล่ะค่ะ ใกล้ถึงเวลาอาหารกันแล้ว เลือกผักอร่อยๆ สำหรับเมนูมื้อต่อไปกันหรือยังคะ

ดูแลฟันซี่แรกของเจ้าตัวน้อย

bbt.jpg
เรื่องฟัน เรื่องสำคัญสำหรับคุณแม่ๆ โดยเฉพาะเมื่อเจ้าตัวเล็กฟันเริ่มขึ้น การดูแลรักษาฟันให้สะอาดแข็งแรงเป็นสิ่งที่คุณพ่อคุณแม่ต้องใสใจเป็นพิเศษ เพราะหากปล่อยให้ฟันมีปัญหา หรือเจ้าตัวเล็กฟันผุขึ้นมาเมื่อไหร่ เรื่องราวจะกลายเป็นเรื่องใหญ่ทันทีเลยล่ะค่ะ

วันนี้ เรามีคำแนะนำดีๆ เกี่ยวกับการดูแลฟันสำหรับสมาชิกตัวน้อยๆ มาฝากกันค่ะ
การดูแลฟันในวัยเด็กนั้น เราให้ความสำคัญกับ 2 เรื่องหลักๆ คือ การเสริมสร้างความแข็งแรงให้กับฟัน และการดูแลทำความสะอาดฟัน

การเสริมสร้างความแข็งแรงให้กับฟัน สามารถทำได้ตั้งแต่ตอนคุณแม่ตั้งครรภ์ และระหว่างการให้นมบุตร เริ่มต้นกันตั้งแต่การคัดสรรอาหารทั้งสำหรับคุณแม่ และอาหารสำหรับทารกกันเลยค่ะ ส่วนนี้จะมีผลต่อการเสริมสร้างให้เจ้าตัวน้อยมีฟันที่แข็งแรง โดยคุณแม่ขณะตั้งครรภ์ และระหว่างการให้นมบุตร ควรรับประทานอาหารให้ครบ 5 หมู่ตามหลักโภชนาการและเน้นอาหารที่มีแคลเซี่ยมสูง เช่น นม ปลาตัวเล็กๆ ไข่ ผักใบเขียว เป็นต้น เพื่อเสริมสร้างความแข็งแรงให้กับกระดูกและฟัน

ต่อมา สำหรับในวัยทารก ซึ่งเป็นวัยที่ยังไม่มีฟันขึ้น เจ้าตัวเล็กควรได้รับนมแม่ซึ่งมีสารอาหารที่เป็นประโยชน์ต่อการพัฒนาของร่างกาย ทั้งการดูดนมแม่นั้นทารกยังได้รับความอบอุ่น และเกิดการพัฒนาทางด้านอารมณ์ที่ดีอีกด้วย กระนั้น แม้ว่าฟันจะยังไม่ขึ้น แต่คุณพ่อ คุณแม่ก็จำเป็นต้องทำความสะอาดช่องปากให้กับลูกน้อยด้วยเช่นกันนะคะ เพราะในน้ำนมก็มีน้ำตาลซึ่งจะเป็นอาหารให้กับเชื้อโรคในช่องปาก หากไม่ทำความสะอาด เชื้อโรคก็จะสะสมมากขึ้นๆ ปรากฏเป็นฝ้าขาวที่ลิ้น เกิดแผลในช่องปาก และทำให้ทารกป่วยได้ง่าย
การทำความสะอาดฟันในระยะนี้ ทำได้ง่ายๆ เพียงแค่ให้ทารก ดูดน้ำตามหลังการดื่มนม และเช็ดช่องปากทารกให้สะอาดด้วยการเอาผ้าก็อส หรือสำลีสะอาดชุบน้ำต้มสุก พันปลายนิ้ว เช็ดกระพุ้งแก้ม สันเหงือกและลิ้นให้ทั่ว เวลาเช็ดคุณพ่อ คุณแม่อย่าเครียดนะคะ เล่นกับลูกไปด้วย เด็กส่วนใหญ่จะไม่ชอบให้เช็ด ต้องเล่นไปด้วย แนะนำให้ทำทุกครั้งที่ดื่มนมเสร็จค่ะ จะทำให้ลูกเกิดความเคยชิน และเรียนรู้ว่าดื่มนมเสร็จต้องเช็ดช่องปาก พอฟันขึ้นการแปรงฟันจะได้ไม่เป็นเรื่องที่ยุ่งยากอีกต่อไป

เมื่อฟันขึ้นใหม่ๆ คุณพ่อคุณแม่อาจตื่นเต้น แต่คุณพ่อ คุณแม่ต้องระวังเรื่องความสะอาดมากขึ้น โดยหาแปรงสีฟันที่เป็นยางหรือซิลิโคนมาให้เด็กกัดเล่นก็ได้ โดยคุณพ่อคุณแม่ยังคงต้องเช็ดฟันที่ขึ้นให้สะอาดเป็นประจำด้วยนะคะ ในช่วงนี้ หากพบว่าฟันลูกชิดกันมากก็อาจจะต้องปรึกษาแพทย์ในการใช้ไหมขัดฟันด้วย โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อฟันกรามน้ำนมขึ้นแล้ว ก็ควรที่จะใช้ไหมขัดฟันอย่างสม่ำเสมอทุกวัน อย่างน้อยวันละ 1 ครั้งก่อนนอนค่ะ

เด็กจะเริ่มมีฟันน้ำนมซี่แรกขึ้นตอนอายุ 6 เดือน และขึ้นจนครบตอนอายุประมาณ 2 ขวบครึ่ง หลังจากนั้น ฟันน้ำนมจะทยอยหลุดออกไปเองหากตำแหน่งของหน่อฟันแท้อยู่ตรงกับฟันน้ำนมซี่นั้น และจะขึ้นจนครบเมื่อประมาณอายุ 25 ปีค่ะ ดังนั้นเด็กจะมีระยะฟันที่เรียกว่า “ฟันผสม” อยู่ในช่วงอายุระหว่าง 2-3 ปี จนถึง 12-15 ปีค่ะ
สิ่งสำคัญอีกอย่างที่คุณหมอแนะนำ คือ เรื่องอาหาร เมื่อเด็กโตขึ้นร่างกายย่อมต้องการอาหารเพิ่มขึ้นนอกเหนือจากนมที่รับประทานมาแต่แรกเกิด เพราะฉะนั้นคุณพ่อคุณแม่ต้องปลูกฝังอุปนิสัย “ไม่ติดหวาน” กับลูกด้วย เพราะนอกจากจะทำให้ฟันผุง่ายแล้ว ยังทำให้เกิดโรคอ้วนตามมาอีกด้วยค่ะ หากเราปลูกฝังอุปนิสัยที่ถูกต้องให้กับลูกของเราตั้งแต่วัยเด็กแล้วโอกาสเกิดฟันผุ หรือต้องสูญเสียฟันก่อนกำหนดก็จะลดน้อยลงไป

เอาล่ะค่ะ ได้ทราบกันแล้ว ถึงวิธีดูแลฟันของเจ้าตัวเล็ก คงช่วยให้คุณพ่อคุณแม่ ดูแลฟันของเจ้าตัวเล็กกันได้อย่างถูกวิธี จะได้มีสุขภาพฟันที่ดี แข็งแรง และสร้างเสริมลักษณะนิสัยที่ดีให้กับเด็กๆ ในระยะยาวนะคะ

ทานปลา ใครๆ ก็ว่ามีประโยชน์ แล้วจะเลือกปลาอะไรดีล่ะ ?

fish
คนรักสุขภาพใครๆ ก็ทานปลากันทั้งนั้น แต่ปลาที่จะให้เลือกก็มีเยอะแยะมากมายไปหมด จะเลือกทานปลาอะไรให้ดีล่ะ

อย่างที่เราพอจะทราบกันมาแล้วบ้าง ว่าการทานปลานั้นดีต่อสุขภาพ เพราะเนื้อปลาเป็นแหล่งของโปรตีนที่ย่อยง่าย มีกรดไขมันไม่อิ่มตัว และกรดไขมันพิเศษที่เรียกว่า โอเมก้า-3 สูง ทั้งแร่ธาตุ และวิตามินอย่าง แคลเซียม ฟอสฟอรัส วิตามินดี วิตามินบี 12 วิตามินเอ ก็มีอยู่เต็มที่ อย่างไรก็ตาม ในเนื้อปลาก็มีไขมันซ่อนอยู่ด้วยเหมือนกัน แต่จะมากหรือน้อยแค่ไหน เราลองมาดูกันดีกว่าค่ะ

ปลาชนิดไหนมีไขมันสูง-ต่ำบ้าง ลองมาดูปริมาณไขมันที่อยู่ในเนื้อปลากันดีกว่าค่ะ
ปลาที่มีไขมันสูง (มากกว่า 8 – 20 กรัมต่อ 100 กรัม) คือ ปลาช่อน ปลาสวาย ปลาดุก และปลาสำลี
ปลาที่มีไขมันปานกลาง (มากกว่า 4 -5 กรัมต่อ 100 กรัม) คือ ปลาสลิด ปลาตะเพียน และปลาจาระเม็ดขาว
ปลาที่มีไขมันต่ำ (มากกว่า 2 -4 กรัมต่อ 100 กรัม) คือ ปลาทูนึ่ง ปลากะพงขาว ปลาจาระเม็ดดำ และปลาอินทรี
ปลาที่มีไขมันอยู่น้อย (ไม่เกิน 2 กรัมต่อ 100 กรัม) ได้แก่ ปลาไหล ปลากราย ปลานิล ปลากะพงแดง และปลาเก๋า

เลือกได้ตามใจชอบเลยนะคะว่าปลื้มเมนูปลาแบบไหน และ นอกจากเรื่องไขมันที่อยู่ในเนื้อปลาแล้ว เราอาจจะดูเรื่องปริมาณ โอเมก้า 3 ควบคู่กันไปด้วย โอเมก้า 3 คือกรดไขมันอิ่มตัวที่สำคัญต่อร่างกาย ประกอบด้วยสารสำคัญสองชนิดคือ กรดไอโคซาเพนตะอีโนติก (eicosapentaenoic acid, EPA) และกรดโดโคซาเฮกซาอีโนอิก (docosahexaenoic acid, DHA ) เป็นไขมันไม่อิ่มตัวเชิงซ้อน ที่มีประโยชน์มากโดย EPA จะช่วยในเรื่องการป้องกันการเกิดโรคหลอดเลือกอุดตัน ช่วยลดระดับไขมันในเลือด และ DHA จำเป็นต่อสมองช่วยให้การทำงานของสมองและระบบประสาทมีประสิทธิภาพ ทั้งยังช่วยเพิ่มความสามารถในการเรียนรู้ และช่วยป้องกันโรคความจำเสื่อมหรือโรคอัลไซเมอร์อีกด้วย

เมื่อร่างกายได้รับกรดไขมันทั้งสองตัวนี้จะช่วยลดการจับตัวของเกล็ดเลือดที่ก่อให้เกิดภาวะหลอดเลือดแข็งตัว ลดการอักเสบ และสร้างสารที่มีส่วนช่วยให้หลอดเลือดขยายตัวและมีความยืดหยุ่นมากขึ้น และยังช่วยลดระดับของไขมันประเภทไตรกลีเซอไรน์ที่เป็นตัวเร่งให้เกิดภาวะเลือดจับตัวกันเป็นลิ่มและอุดตันหลอดเลือด

ปลาทะเลที่มีปริมาณโอเมก้า 3 สูงได้แก่ ปลาทู ปลาแซลมอน ปลาโอ ปลาอินทรี ปลาทูน่า ปลากะพง ปลาดุกทะเล เป็นต้นค่ะ

สำหรับปลาที่หาทานได้ง่ายในบ้านเราก็มีปริมาณโอเมก้า 3 ไม่แพ้ปลาทะเลเลยทีเดียว ดีไม่ดีอาจจะเยอะกว่าปลาทะเลจากต่างแดนเสียอีก ลองมาดูกันดีกว่าค่ะว่า ปลาบ้านเราชนิดใดมีโอเมก้า 3 เท่าไหร่กันบ้าง ปริมาณโอเมก้าในที่นี้คือปริมาณต่อปริมาณเนื้อปลา 100 กรัมนะคะ

ปลาสวายขาว ปลาน้ำจืดของไทย มีปริมาณโอเมก้า 3 สูงถึง 2,570 มิลลิกรัม
ปลาทู ปลาทะเลไทยที่หาทานได้ง่ายที่สุด มีปริมาณโอเมก้า 3 สูงถึง 2,000-3,000 มิลลิกรัม
ปลาช่อน เป็นปลาน้ำจืดที่มีโอเมก้า 3 ค่อนข้างสูงเช่นกัน มีประมาณ 870 มิลลิกรัม
ปลากะพงขาว ปลาทะเลไทย มีโอเมก้า 3 ประมาณ 310 มิลลิกรัม

เมื่อไม่นานมานี้ หลายประเทศตะวันตก ได้มีการประกาศข้อควรระวังสำหรับผู้หญิงที่กำลังตั้งครรภ์ หญิงที่ให้นมบุตร รวมถึงเด็กเล็ก ให้งดการทานปลาทะเล 4 ชนิด คือ ปลาฉลาม ปลากระโทงดาบ หรือปลาฉลาก ปลาแมคเคอเรล หรือปลาอินทรี และปลาไทซึ่งเป็นปลาในกลุ่มปลาไหล เพราะปลาในกลุ่มนี้มีวงจรชีวิตยาวนาน ทำให้มีการสะสมของสารปรอทในตัวมาก ทานเข้าไปอาจก่อให้เกิดอันตรายต่อสุขภาพได้

สุดท้าย ปลาดีๆ ก็อยู่ใกล้ๆ เรานี่ล่ะค่ะ เป็นปลาท้องถิ่นที่หาง่าย ไม่ต้องขนส่งมาจากแดนไกลให้เสี่ยงต่อสารเคมีที่ใช้ในการเก็บถนอมอาหาร และยังไม่พบอาการแพ้ โดยเฉพาะจากปลาน้ำจืดเหมือนที่พบในปลาทะเลในประเทศอื่นๆ ทั้งอาหารไทยส่วนใหญ่ก็มาเมนูจากปลาทั้งนั้น ไม่ว่าจะน้ำพริก ต้มยำ แกงส้ม แกงป่า ทานคู่กับผักพื้นบ้าน ทั้งอร่อย ทั้งได้สุขภาพที่ดี เงินทองไม่รั่วไหลออกไปต่างแดนอีกด้วยล่ะค่ะ

 

ทานผัก…มากไป !!

carrot beetroot

ทานผัก ใครๆ ก็ว่าดี แต่ถ้าตั้งหน้าตั้งตาทานแต่ผักๆๆ จะเกิดอะไรขึ้นกับร่างกายของเรากันนะ ลองมาดูกันดีกว่าค่ะว่าร่างกายของเราจะตอบสนองต่อการรับสารอาหารบางอย่างมากเกินไปอย่างไร

มะละกอ
ใครท้องผูก ก็มักจะเรียกหามะละกอมารับประทาน เพราะมะละกอจะช่วยระบายให้สบายท้อง มีผลการวิจัยยืนยันมาแล้วหละค่ะว่ามะละกอมีประโยชน์อีกหลายประการเลยทีเดียว ทั้งช่วยต้านมะเร็ง ช่วยให้ระบบย่อยอาหารของเราทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ และด้วยปริมาณกากใยที่สูงจึงช่วยในเรื่องระบบขับถ่าย ทำให้ห่างไกลจากโรคริดสีดวงทวารไปโดยปริยายค่ะ มะละกอยังช่วยบำรุงตับ ป้องกันอาการตับโต และสำหรับคุณแม่ที่ให้นมลูกนั้น มะละกอยังช่วยให้คุณแม่มีน้ำนมมากขึ้นอีกด้วยค่ะ
แต่ถ้าทานมะละกอมากเกินไป จะเกิดอะไรขึ้น?
ด้วยความที่ “มะละกอ” มีสารแคโรทีนอยด์ เมื่อทานในปริมาณมากสารนี้อาจตกค้างในตับของเราได้ สังเกตุได้จากอาการที่ฝ่ามือจะเริ่มกลายเป็นสีเหลือง คำถามคือ ปริมาณที่ว่ามากนั้นคือเท่าไหร่กัน ปริมาณมากในที่นี้คือ ทานมะละกอประมาณวันละหนึ่งลูกและทานทุกวันด้วยนะคะ ถ้าทานแบบปกติก็ยังไม่น่าห่วงหรอกค่ะ

แครอท
ผักสีส้มสด เมนูโปรดของเจ้ากระต่ายนั้นมีประโยชน์มากมาย ทั้งมีวิตามินเอและสารเบต้าแคโรทีน ช่วยบำรุงสายตา ช่วยบำรุงผิวและเนื้อเยื่อต่างๆ ให้ทำงานได้ดี ช่วยยับยั้งความเสื่อมของอวัยวะสำคัญของร่างกาย ช่วยขับปัสสาวะ บำรุงเลือดให้ไหลเวียนสะดวก และช่วยขับของเสียออกนอกร่างกาย นอกจากนี้แครอทยังมีสารฟอลคารินอลซึ่งทำงานร่วมกับสารเบต้าแคโรทีน สามารถต้านอนุมุลอิสระอันเป็นสาเหตุของการเกิดมะเร็ง มีการวิจัยมาแล้วค่ะ ว่าแครอทมีสารแคลเซียมเพคเตท ช่วยลดระดับคลอเลสเตอรอลในเลือด ลดอัตราการเกิดโรคหัวใจ ป้องกันภาวะหัวใจล้มเหลว ลดอัตราการเกิดโรคหลอดเลือดสมอง อัมพฤษ์ อัมพาต ความดันโลหิตสูงและต้อกระจกอีกด้วยนะคะ
แล้วถ้าทานแครอทมากไป จะเป็นอย่างไร ?
ผิวสีเนื้อของคุณ อาจจะเปลี่ยนเป็นผิวสีส้มก็ได้ค่ะ โดยเฉพาะบริเวณผิวที่บางๆ ทั้งมือและเท้าจะกลายเป็นสีส้มอ่อนๆ ได้ เหตุผลก็มาจากการที่ร่างกายของเราไม่มีเอนไซม์ที่จะเปลี่ยนสารแคโรทีนอยด์จากแครอท ให้เป็นวิตามินเอได้นั่นเองค่ะ จึงทำให้มีสารทีส้มนี้สะสมในร่างกายมากเกิน แต่ถ้าเราหยุดทานแครอทสักพักอาการตัวส้มก็จะหายไปได้เอง แต่โดยรวมๆ แล้ว ไม่ได้น่ากลัวอะไรค่ะ

บีทรูท
บีทรูทคนไทยอาจจะยังไม่คุ้นเคยในการนำเอามาปรุงอาหารสักเท่าไหร แต่จริงๆ แล้วบีทรูทประกอบด้วยสารอาหารมากมาย ทั้งแคลเซียม ฟอสฟอรัส โซเดียม โพแทสเซียม เหล็ก ทั้งให้วิตามินสูง ทั้งวิตามินซี วิตามินเอ วิตามินบี 1 และบี 2 สารสีแดงในหัวบีทรูท คือเบทานิน (betanin) เป็น กรดอะมิโนที่มีสรรพคุณยับยั้งการเจริญเติบโตของเนื้องอกและมะเร็ง นอกจากนั้นบีทรูทยังมีคุณสมบัติช่วยกระตุ้นภูมิคุ้มกันของร่างกาย บำรุงเลือด ทำให้การไหลเวียนของโลหิตไปเลี้ยงส่วนต่างๆ ของร่างกายได้ดี บำรุงตับ ไต ถุงน้ำดี เป็นอาหารล้างพิษโดยเฉพาะในผู้ป่วยที่ติดสุราเรื้อรัง เป็นยาระบาย แก้เจ็บคอ ขับเสมหะ แก้ไอ ช่วยการเจริญอาหาร แก้บิด แก้ปวดหัว ปวดฟัน และยังช่วยขับปัสสาวะอีกด้วยค่ะ
รับประทานบีทรูทมากเกินไป จะเกิดอะไรขึ้น ?
ด้วยความที่บีทรูทอุดมไปด้วยสาร เบทานิน ที่ให้สีแดง เมื่อรับประทานบีทรูทมากเกินไปจะทำให้ปัสสาวะเป็นสีแดงออกมาได้ แต่ก็เป็นเพียงการขับสารที่เป็นส่วนเกินออกมา ไม่ได้เป็นอัตรายอะไรนะคะ

คนรักผักทั้งหลายอ่านแล้ว อย่าลืมสำรวจร่างกายกันไปด้วย ว่าเราเป็นแบบนั้นหรือเปล่า ทานผักดีต่อร่างกายอยู่แล้วค่ะ แต่อะไรที่มันมากเกินพอดีก็อาจจะส่งผลเสียให้กังวลกันได้เช่นกัน แม้แต่ในเรื่องผักๆ นะคะ

ส่งท้าย ‘เจ’ กับเมนูเครื่องดื่มเพิ่มพลังแบบง่ายๆ ที่ใครก็ทำได้

mango juice เมื่อนึกถึงอาหารเจ หลายคนอาจจะนึกถึงแต่เต้าหู้ทอด เผือกทอด ผัดหมี่ เมนูเดิมๆ ไม่น่าสนใจ แต่ทุกวันนี้เมนูอาหารเจได้แปรเปลี่ยนไปทั้งในรูปลักษณ์ และรสชาติ ที่อร่อยขึ้น และมีเมนูให้เลือกหลากหลายยิ่งขึ้น ไม่ได้มีแต่เมนูแป้งมันๆ อีกต่อไป ถ้าไม่เชื่อลองแวะไปทานที่ร้าน Ariya Organic Place ได้เลยค่ะ หลายคนที่รับประทานอาหารเจ มักจะมีปัญหา ว่าไม่อยู่ท้อง พ้นมื้อกลางวัน ไม่นาน พอตกบ่ายก็หิวอีกแล้ว วันนี้เราเลยมีเมนูพิเศษที่ช่วยเพิ่มพลังและความสดชื่นให้กับคนที่รับประทานอาหารเจกันโดยเฉพาะกับ Fruity … Freshy … Mango ค่ะ

ประโยชน์ของเมนูนี้นอกจากจะช่วยสร้างความสดชื่นให้ร่างกายกลับมากระปรี้กระเปร่าอีกครั้ง แล้วยังมีวิตามิน C สูง ช่วยเสริมภูมิคุ้มกันร่างกายให้แข็งแรง ไม่ป่วยง่าย และยังช่วยป้องกันโรคเลือดออกตามไรฟันอีกด้วยนะคะ

ลองมาดูส่วนผสมกันดีกว่าค่ะ ส่วนผสมที่ต้องเตรียมได้แก่ มะม่วงสุก 1 ลูก (หนักประมาณ 400 กรัม) , เซอร์ลาลี่ ประมาณ 300 กรัม และ น้ำดื่มสะอาดประมาณ 1 ถ้วย เตรียมส่วนผสมเสร็จแล้วก็เริ่มทำได้เลยค่ะ เริ่มจากเอาผลมะม่วงสุก ไปล้างแล้วแช่ในตู้เย็นจนเย็นได้ที่ จากนั้น ปอกเปลือกแล้วหั่นเป็นชิ้นเล็กๆ ใส่ลงในเครื่องปั่นน้ำผลไม้ นำเซอร์ลาลี่ที่เตรียมไว้ ล้างให้สะอาดแล้วหั่นเป็นชิ้นเล็กๆ ใส่ตามลงไปในเครื่องปั่น แล้วตามด้วยน้ำดื่มที่เตรียมไว้ สุดท้าย ปรับความเร็วของเครื่องปั่นให้สูงสุด เพื่อปั่นเนื้อมะม่วงและเซอร์ลาลี่ให้เข้ากัน เทใส่แก้วชิลล์ กับจัดพร้อพตามใจชอบ ง่ายๆ แค่นี้ Fruit Freshy Mango ก็พร้อมสำหรับการเติมความสดชื่นแล้วล่ะค่ะ อย่าลืมไปลองกันนะคะ

สลิม ฟิต เป๊ะ กับ Belly Dance

bellydance
เทรนด์ใหม่ของการโยกย้ายส่ายเอวกันมันส์หยด กับการแดนซ์ในสไตล์ Belly Dance
วันนี้หาข้อมูลมาขยายความกับสเต็ปแดนซ์สไตล์ตะวันออกกลาง การเต้นสนุกๆ ที่ช่วยเผาผลาญไขมันได้เป็นอย่างดีทีเดียวเชียวค่ะ
ครูลูกณัฐ – ณัฐณิชา วงศ์ดวิษ วิทยากรพิเศษ จาก Slim up Center ได้มาพูดถึงประโยชน์ของการเต้น Bally Dance ว่า “เป็นเทคนิคการร่ายรำที่เน้นการเคลื่อนไหวของกล้ามเนื้อท้องและสะโพก ซึ่งจะช่วยเพิ่มมวลกล้ามเนื้อให้มีความแข็งแรงและยังเป็นการเผาผลาญไขมันในร่างกายเป็นอย่างดีอีกด้วย การฝึกเต้นระบำหน้าท้องนี้ จะช่วยบริหารกล้ามเนื้อส่วนท้องและสะโพกให้สัมพันธ์กับระบบหายใจ เพื่อที่จะช่วยปรับสมดุลของอวัยวะภายในร่างกาย เช่น ระบบขับถ่าย ทำให้การทำงานของกระเพาะปัสสาวะดีขึ้น นอกจากนี้ยังช่วยทำให้เลือดลมหมุนเวียนได้ดี ผิวพรรณจึงเปล่งปลั่งสดใส สุขภาพแข็งแรง หน้าท้องก็เรียบเนียน กระชับ ซึ่งสาวๆ ที่อยากมีหุ่นสวยเป๊ะ แบบไร้ไขมัน ลองใช้เทคนิคง่ายๆ นี้ ไปลองทำดู”
มาดูกันดีกว่าค่ะว่า Step Dance สไตล์ Bally Dance เป็นอย่างไร แล้วแต่ละท่าจะช่วยบริหารกล้ามเนื้ออย่างไร
1. ท่า Belly out and in
ท่านี้เป็นการฝึกการใช้กล้ามเนื้อหน้าท้องเบื้องต้น เริ่มจากการหายใจเข้าพร้อมกับเกร็งกล้ามเนื้อหน้าท้องเข้า โดยไม่ขยับส่วนอื่นของร่างกายเลย ห้ามยกหน้าอกขึ้นหรือขยักช่วงสะโพก แล้วหายใจออกพร้อมกับเบ่งหน้าท้องออกมา จากนั้นทำซ้ำและเร็วขึ้นเรื่อยๆ ระหว่างทำต้องไม่กลั้นลมหายใจ ทำเป็นเซท เซทละ10 ครั้ง ทำให้ได้วันละ 5 เซท
2. ท่า Chest slide forward and backward
ท่านี้เริ่มจากการแอ่นหน้าอกไปด้านหน้า พร้อมกับเกร็งหน้าท้องเข้ามา โดยที่ต้องไม่แอ่นก้นไปด้านหลังหรือขยับลำตัวช่วงล่างเลย จากนั้นสไลด์ลำตัวไปด้านหลังพร้อมกับปล่อยหน้าท้องออก ทำซ้ำเป็นเซท เซทละ10 ครั้ง ทำให้ได้วันละ 5 เซท ท่านี้เป็นการแยกส่วนของร่างกาย โดยจะฝึกเรื่องของประสาทสัมผัส สร้างความแข็งแรงให้กับหน้าท้อง และช่วยยืดกล้ามเนื้อบริเวณช่วงหน้าอกและหลังด้านบน
3. ท่า Chest slide side to side
มาต่อกันที่หน้าอกนะคะ ให้สไลด์หน้าอกไปด้านข้าง ไม่เอียงลำตัวลง ไหล่ขนานกับพื้น แล้วสไลด์ไปอีกด้านหนึ่ง พยายามไม่ขยับช่วงสะโพก ท่านี้ช่วยบริหารลำตัวด้านข้าง ช่วยสร้างความแข็งแรงและยืดกล้ามเนื้อบริเวณเอว

ต้องลองทำดูค่ะ แล้วจะรู้ว่าบริหารกล้ามเนื้อหน้าท้องไม่ยากเลย แถมยังสนุกอีกด้วย

เอวคอด หน้าทองแบนราบแล้วก็ได้เวลาหาชุดสวยๆ มาใส่อวดพุงขาวๆ กันดีกว่าค่ะ