เอสโตรเจน ฮอร์โมนของความสดใส


ฮอร์โมน เอสโตรเจน Estrogen เป็นฮอร์โมนสำคัญโดยเฉพาะสำหรับผู้หญิงทุกคน เพราะเป็นฮอร์โมนที่ช่วยให้ร่างกาย และเนื้อเยื่อต่างๆ มีความแข็งแรง แสดงให้เห็นถึงความเป็นผู้หญิงที่สมบูรณ์ เช่น มีการขยายของหน้าอก มากขึ้น ผิวพรรณดูเต่งตึง สดใส มีน้ำมี นวล เซลล์ต่างๆ เสื่อมสภาพช้าลง และช่วยให้กระดูกคงสภาพที่แข็งแรง นอกจากนั้น เอสโตรเจน ยังมีผลต่ออวัยวะภายในของเราทุกระบบ ทั้งในส่วนของสมอง ที่ช่วยในเรื่องความจำ กระตุ้นให้เกิดความเจริญเติบโตเมื่อเข้าสู่วัยสาว และ ควบคุมการสร้างคอเลสเตอรอล ที่จะช่วยลดความเสี่ยงต่อการเกิดไขมันอุดตันในเส้นเลือด

อย่างไรก็ตาม เมื่ออายุมากขึ้นร่างกายจะผลิตฮอร์โมนเอสโตรเจน ในปริมาณที่น้อยลง ซึ่งอาจส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทั้งทางร่างกาย และอารมณ์ เป็นภาวะที่เรามักเรียกกันว่า “วัยทอง” ซึ่งเป็นได้ทั้งในผู้ชาย และผู้หญิง ทว่าสำหรับผู้หญิงแล้ว ระดับของฮอร์โมนเอสโตรเจนจะลดลงเร็วกว่าผู้ชาย ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงที่ชัดกว่า และมักจะเกิดในช่วงวัยที่เร็วกว่า โดยผลจากการลดลงของฮอร์โมนเอสโตรเจน อาจส่งผลให้มีอาการต่างๆ ได้แก่ ในผู้หญิง อาจมีประจำเดือนมาน้อย และไม่สม่ำเสมอ มีอาการร้อนวูบตามร่างกาย  ใจสั่น เหนื่อยง่าย มีเหงื่อออกมากในช่วงกลางคืน หรือมีอาการหนาวสั่นโดยไม่มีสาเหตุ และนอนหลับได้ยาก นอกจากนั้น อาจมีอาการปวดเมื่อยตามข้อ และกระดูก ปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ ทั้งยังอาจมีภาวะกระดูกบาง เปราะ และเสี่ยงต่อการกระดูกหักได้ง่ายเมื่อหกล้ม
การลดลงของฮอร์โมนเอสโตรเจน ยังจะส่งผลต่อผิวพรรณ โดยผิวหนังจะบางลง แห้ง เกิดเป็นแผล และผื่นแพ้ได้ง่าย ทั้งเส้นผม อาจจะบางลง หลุดร่วงได้ง่าย และหยาบ แห้ง ไม่เป็นเงางามเช่นเคยอีกด้วยค่ะ ที่สำคัญ การขาดฮอร์โมนเอสโตรเจน ยังจะมีผลต่ออารมณ์ ทำให้เกิดภาวะเครียด ใจร้อน หงุดหงิดได้ง่ายโดยไม่มีสาเหตุ ควบคุมอารมณ์และความรู้สึกได้ยาก และในบางรายอาจเกิดภาวะซึมเศร้า วิงเวียนศีรษะ หรือหลงลืมได้อีกด้วย

ทราบถึงความสำคัญของฮอร์โมนเอสโตรเจนกันแล้ว หลายๆ คนอาจจะกังวล ว่าแล้วเราควรจะทำอย่างไรได้บ้างเพื่อรักษาระดับของฮอร์โมนในร่างกายให้คงความสมดุล บางคนอาจจะเลือกปรึกษาแพทย์ และรับฮอร์โมนทดแทน ซึ่งกรณีนี้แนะนำว่าควรใช้ตามความจำเป็น และอยู่ภายใต้การดูแลของแพทย์เท่านั้น ซึ่งก็อาจส่งผลต่อการเกิดอาการข้างเคียง เช่น มีน้ำหนักตัวเพิ่มขึ้น มีอาการปวดศีรษะไมเกรน หรือมีเลือดออกทางช่องคลอดในช่วงแรกที่รับฮอร์โมนทดแทนได้

สำหรับกรณีที่ไม่ได้มีปัญหาอย่างรุนแรง การรักษาสมดุลของฮอร์โมนในร่างกาย อาจทำได้ด้วยการดูแลด้านโภชนาการ โดยเลือกทานอาหารที่มีฮอร์โมนเอสโตรเจนตามธรรมชาติเพื่อชดเชยปริมาณฮอร์โมนที่ลดลงได้ค่ะ ลองมาดูกัน ว่าอาหารประเภทใดบ้างที่ให้ฮอร์โมนเอสโตรเจนได้บ้าง

อย่างแรกเลย น้ำมะพร้าว ในน้ำมะพร้าวมีฮอร์โมนเอสโตรเจน ซึ่งมีส่วนสำคัญต่อการสร้างคอลลาเจน และอีลาสติน ที่จะช่วยให้ผิวมีความยืดหยุ่น ชะลอการเกิดริ้วรอยก่อนวัย อีกทั้งยังมีฤทธิ์ช่วยขับปัสสาวะ ขับของเสียหรือสารพิษออกจากร่างกายอีกด้วย
ต่อมาเป็นลูกพรุน เนื่องจากในลูกพรุนมีสารไฟโตเอสโตรเจน ออกฤทธิ์คล้ายฮอร์โมนเพศหญิงทั้งยังเต็มไปด้วยไฟเบอร์ ที่จะช่วยในระบบขับถ่าย และช่วยในการปรับสมดุลของระดับน้ำตาลในเลือด
นอกจากนั้น ยังมี แครอท ซึ่งมีสารลิกแนน จัดเป็นโฟโตเอสโตรเจนชนิดหนึ่งที่ออกฤทธิ์คล้ายฮอร์โมนเอสโตรเจนในร่างกาย รวมถึงธัญพืช ถั่วชนิดต่างๆ และผลิตภัณฑ์จากถั่ว เช่น เต้าหู้ น้ำเต้าหู้ ที่ต่างก็มีโฟโตเอสโตรเจน ที่จะช่วยปรับสมดุลฮอร์โมนเพศหญิงได้ สาวๆ ที่เริ่มมีอายุมากขึ้น อาจเลือกทานอาหารที่มีฮอร์โมนตามธรรมชาติเหล่านี้เพื่อช่วยชดเชยการลดลงของฮอร์โมนได้เช่นกันค่ะ

รวมความเข้าใจผิดเกี่ยวกับสุขภาพ พร้อมคำอธิบายที่ถูกต้อง

True-or-False1

เคยมีความเชื่อแบบนี้กันบ้างหรือเปล่าคะ ลองอ่านกันซักนิด ทำความเข้าใจกันซักหน่อย สาระดีๆเกี่ยวกับสุขภาพทั่วๆไปค่ะ

ทานโปรตีนเพิ่ม พละกำลังก็เพิ่ม
ไม่ถูกซะทีเดียวค่ะ เพราะร่างกายของเรามีโปรตีนและไขมันที่เพียงพออยู่แล้ว การเพิ่มปริมาณโปรตีนที่พิเศษไปกว่าโปรตีนที่เราทานตามปกติไม่ได้ช่วยเรื่อง “พละกำลัง” แต่เป็นเรื่องของ “จิตใจ” มากกว่า เราอาจจะเชื่อคำโฆษณาชวนเชื่อทั้งหลาย ที่จูงใจด้วยสรรพคุณของอาหารเสริมโปรตีน ราวกับว่าโปรตีนคือยาวิเศษ แท้จริงแล้วพละกำลังเกิดจากกล้ามเนื้อ การบริหารร่างกายเพื่อเสริมสร้างกล้ามเนื้อ ให้กล้ามเนื้อแข็งแรง จะเป็นประโยชน์ต่อร่างกายในการเพิ่มพละกำลังมากกว่า

น้ำหนักจะเพิ่มขึ้น เมื่อเราอายุมากขึ้น
อาจจะถูกส่วนหนึ่ง เพราะเมื่อเราอายุเพิ่มขึ้น ระบบการเผาผลาญอาหารและพลังงานของร่างกายก็ทำงานได้ลดลง ทำให้เกิดการสะสมในรูปแบบของไขมันส่วนเกินที่มากขึ้น ประกอบกับการสร้างกล้ามเนื้อก็ลดลง เป็นส่วนหนึ่งของปัญหาไขมันสะสมเพราะไม่ได้ถูกนำไปใช้ เราจึงควรจะกำจัดส่วนเกินเหล่านั้นออกไป แล้วรักษาน้ำหนักให้สมดุล ดีกว่าที่จะปล่อยให้น้ำหนักเพิ่มขึ้นตามตัวเลขอายุที่เพิ่มมากขึ้นนะคะ

ยาลดความอ้วนทำให้หายจากโรคอ้วน
ยาลดความอ้วนที่โฆษณาและวางขายตามท้องตลาดนั้น ส่วนใหญ่มักเป็นยาขับปัสสาวะ ลดการดูดซึมไขมัน เมื่อใช้ยาอาจส่งผลให้ดูผอมในระยะหนึ่ง แต่เป็นความผอมแบบขาดสารอาหาร ร่างกายทรุดโทรม การลดความอ้วนที่ดีและได้ผลที่สุดนั้นไม่มีตัวยาเฉพาะเจาะจง แต่เป็นการควบคุมอาหาร และปริมาณสารอาหารที่ร่างกายได้รับ ควบคู่ไปกับการออกกำลังกายที่เหมาะสม แน่นอนว่าวิธีดังกล่าวต้องใช้เวลาและความพยายามมากพอสมควรเลยทีเดียวค่ะ

ป่วย ต้องทานยา
จากการปลูกฝังอย่างต่อเนื่องจากการแพทย์แผนปัจจุบันที่เน้นให้ผู้ป่วยทานยา ความจริงแล้ว 90 % ของโรคต่างๆ ร่างกายเราสามารถรักษาให้หายได้ด้วยตัวเองโดยไม่จำเป็นต้องพึ่งยา ยาเป็นเพียงตัวช่วยหนึ่งที่ลดอาการของความเจ็บป่วยนั้นๆ ให้ร่างกายได้พักผ่อน สร้างภูมิต้านทานที่จะมาต่อกรกับเชื้อโรคทั้งหลายที่ทำให้ร่างกายบกพร่อง อย่างเช่น ยาแก้ไอ ยานี้ไม่ได้มีผลในการหยุดอาการไอ แต่จะช่วยลดอาการคัดจมูก แก้อาการบวมในคอ สาเหตุของเสียงที่แหบแห้ง เป็นต้น

คนกล้ามใหญ่ แข็งแรงที่สุด
ในการ์ตูนหรือภาพยนตร์มักหยิบยกเอาฮีโร่กล้ามใหญ่เป็นสัญลักษณ์ของจอมพลัง แท้ที่จริงแล้วการบริหารกล้ามเนื้อให้เหมาะกับการใช้งานจะเกิดประโยชน์มากกว่า เพราะการเพาะกล้ามเนื้อนั้น บางครั้งอาจเป็นการเพาะกล้ามเนื้อส่วนเกินที่ไม่เกี่ยวกับการใช้งานจริง แต่กลับเป็นการเพาะกล้ามเนื้อเพื่อความสวยงามมากกว่า หากต้องใช้กำลัง กล้ามเนื้อต้องมีพลังอดทนต่อความเครียดและความกดดันให้ได้ ทั้งยังต้องมีการบริหารร่างกายอย่างต่อเนื่องเพื่อรักษาความยืดหยุ่นอีกด้วย

ผู้บริหารส่วนใหญ่มักเป็นโรคกระเพาะ
บทความไหนๆ ก็มักบอกเช่นนี้ แต่จริงๆ แล้ว จากสถิติ เมื่อสำรวจผู้ทำงานในระดับบริหาร กลับพบว่ามีเพียงครึ่งเดียวที่เป็นโรคกระเพาะ เทียบกับลูกจ้างทั่วไปจะพบว่ามีอัตราที่ต่ำกว่ามาก ที่มาคือการรู้จักแบ่งเวลาและการดูแลตนเอง ผู้บริหารส่วนใหญ่มักให้ความสำคัญกับการดูแลสุขภาพ เพราะสุขภาพที่ดีเป็นส่วนหนึ่งของการทำงานที่ดี คนกลุ่มนี้กลับมีร่างกายที่แข็งแรง และสุขภาพที่ดีมากกว่าคนกลุ่มไหนๆ ในออฟฟิศเสียอีก

แก้ปัญหาปวดเข่าแบบลงลึก ตอนที่ 2

ครั้งก่อน คุณหมอภาริศ วงศ์แพทย์ได้มาให้ความรู้เกี่ยวกับการฟื้นฟูกล้ามเนื้อรอบหัวเข่ากันไปแล้ว วันนี้เรามาต่อกันด้วยการป้องกันไม่ให้กล้ามเนื้อหัวเข่าบาดเจ็บกันค่ะ

ความสำคัญของการป้องกันการบาดเจ็บ
ผู้ที่ยังไม่มีอาการบาดเจ็บ ก็ควรคำนึงถึงการป้องกันการบาดเจ็บเอ็นข้อเข่า ซึ่งได้มีการพิสูจน์มาแล้วว่า การฝึกฝนตามโปรแกรมที่เหมาะสม ตัวอย่างเช่นโปรแกรมที่เรียกว่า the eleven plus ของ FIFA ซึ่งได้รับถ่ายทอดมาจากสมาคมฟุตบอลเยอรมันมาอีกทอดหนึ่งนั้น ได้ผลดีมากในการลดอาการบาดเจ็บของนักกีฬาหญิง เพราะเป็นที่ทราบดีว่าผู้หญิงจะมีอาการเอ็นเข่าฉีกขาดได้ง่ายเวลาเล่นกีฬา ทั้งนี้โปรแกรม the eleven plus เหมาะกับนักกีฬาเท่านั้น ถ้าเป็นผู้ที่มีปัญหาปวดเข่าอยู่แล้ว หรือว่าเป็นผู้ที่ไม่เคยได้ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอมาก่อน อาจมีความพร้อมไม่เพียงพอในการฝึกและอาจได้รับบาดเจ็บจากการพยายามฝึกฝนได้

สำหรับผู้ที่ไม่ได้เล่นกีฬาเป็นประจำแต่ต้องการเสริมสร้างความมั่นคงของกล้ามเนื้อรอบข้อเข่า ท่าที่ควรฝึกคือท่าย่อเหยียด ที่เรียกว่าท่า squat นั่นเอง มีข้อสำคัญคือ จะต้องรักษาแนวสัมพัทธ์ของข้อเท้า ข้อเข่า และข้อสะโพก ให้อยู่ในแนวตรงกันตลอดเวลาที่ทำการย่อเหยียด ไม่มีลักษณะบิดอันจะทำให้เกิดการสึกหรอและปวดข้อเข่าได้ระหว่างการฝึก จะต้องมีการรักษาแนวโค้งของกระดูกสันหลังให้อยู่ในลักษณะโค้งแอ่นเล็กน้อย ที่เรียกว่าเป็นโค้งธรรมชาติของกระดูกสันหลังส่วนบั้นเอว และควรมีการรักษาให้กระดูกเชิงกรานมีการคว่ำตัวมาด้านหน้าเล็กน้อยตลอดเวลาด้วย
การฝึกเช่นนี้จะสร้างความแข็งแรงให้กับกล้ามเนื้อขา กล้ามเนื้อหลัง และลดความเสี่ยงต่อการบาดเจ็บขณะเดิน ในขณะเคลื่อนไหว หรือในขณะยกของ

สำหรับท่านที่สนใจการออกกำลังกายเพื่อการฟื้นฟูสภาพตัวเอง หรืออ่านคำแนะนำแล้วยังไม่แน่ใจ สามารถเข้าไปดูวิดิโอคลิปที่ยูทูปได้ โดยการเสิร์ชด้วยคีย์เวิร์ด DBC spine clinic ในช่องเสิร์ชของยูทูปก็จะพบวิดิโอท่าบริหารร่างกายลดอาการปวด และเพิ่มความมั่นคงของข้อต่อต่างๆ

สรุปได้ว่า ข้อเข่าเป็นข้อที่ต้องอาศัยกล้ามเนื้อเพื่อช่วยประคับประคองความมั่นคง เมื่อได้รับการบาดเจ็บก็ควรที่จะต้องเสริมสร้างกล้ามเนื้อให้มีความแข็งแรงและมีการทำงานที่ถูกต้องกับจังหวะเวลาเพื่อประคับประคองข้อเข่า เรียกว่าเป็นการฟื้นฟูข้อเข่า ซึ่งจำเป็นต้องทำทั้งในผู้ที่เป็นนักกีฬาและไม่ใช่นักกีฬา ต่างกันแค่เพียงระดับความเข้มข้นในการฝึกเท่านั้น ส่วนผู้ที่ยังไม่มีอาการบาดเจ็บ ก็ควรจะพิจารณาถึงการเสริมสร้างสมรรถนะของกล้ามเนื้อรอบข้อเข่าเพื่อป้องกันการบาดเจ็บเช่นกันค่ะ

ได้รับความรู้ดีๆ เกี่ยวกับการดูแลกล้ามเนื้อรอบๆ เข่ากันไปแล้ว ถ้าใครมีคำถามเพิ่มเติมเกี่ยวกับอาการปวดกล้ามเนื้อส่วนต่างๆ สามารถสอบถามเข้ามาได้นะคะ Life Center ยินดีเป็นสื่อกลางในการนำเสนอข้อมูลความรู้ดีๆ สำหรับทุกๆ ท่านค่ะ

สำหรับวันนี้ ขอบคุณข้อมูลดีๆ จาก DBC Spine Clinic & Gym ชั้น 2 Life Center #QHouseLumpini ค่ะ

แก้ปัญหาปวดเข่าแบบลงลึก ตอนที่ 1

ผู้ที่รักการออกกำลังกาย สนุกกับการเล่นกีฬาต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นการเต้นแอโรบิค แบตมินตัน บาสเกตบอล เมื่อเล่นไปนานๆ แม้ว่าจะได้สุขภาพที่แข็งแรง มีกล้ามเนื้อแล้ว แต่ปัญหาที่มักตามมานั่นก็คือ อาการปวดเข่าค่ะ
วันนี้เรามีคำแนะนำดีๆ จากคุณหมอภาริส วงศ์แพทย์ จาก DBC Spine Clinic & Gym ที่ลงลึกถึงเรื่องอาการปวดเข่ามาฝากกันค่ะ

“อาการปวดเข่าเรื้อรัง ไม่ได้เกิดขึ้นจากข้อเข่าเสื่อม หรืออักเสบเท่านั้น สาเหตุของอาการปวดเข่าเรื้อรังที่สำคัญที่คนไม่ค่อยนึกถึงอีกประการหนึ่งก็คือ อาการปวดเนื่องจากข้อเข่าขาดความมั่นคง ซึ่งเป็นอาการที่เกิดได้บ่อย โดยเฉพาะหลังการบาดเจ็บเอ็นข้อเข่าซ้น ยืดหรือฉีกขาด อาการบาดเจ็บที่ว่านี้เกิดได้บ่อยพอๆ กันทั้งในนักกีฬา และคนทั่วๆไป สำหรับนักกีฬา อาจเกิดการบาดเจ็บขณะเปลี่ยนทิศทางการวิ่งเคลื่อนตัว หลบหลีกคู่ต่อสู้ เกิดแรงบิดที่ข้อเข่าอย่างกะทันหัน หรือเกิดในขณะจังหวะลงสู่พื้นหลังการกระโดด ทั้งในสองกรณีมีความเหมือนกันคือ มีแรงกระแทกที่ข้อเข่าอย่างรุนแรงในเวลาอันสั้น และเมื่อกล้ามเนื้อไม่สามารถประคับประคองข้อเข่าเอาไว้ได้ให้อยู่ในแนวที่เหมาะสม จึงเกิดการบิดตัวทำให้เกิดการฉีกขาดของเอ็นได้ ส่วนในคนปกติก็อาจจะเกิดขึ้นได้ในกิจกรรมในชีวิตประจำวัน เช่น ลื่นเสียหลักในขณะเดินขึ้นหรือลงบันได หรือขณะที่กระโดดขึ้นหรือลงจากพื้นต่างระดับ เป็นต้น”
สำหรับผู้ที่ได้รับการบาดเจ็บเอ็นข้อเข่าทั้งชนิดที่รุนแรง เอ็นขาดต้องรับการผ่าตัด และผู้ที่ได้รับบาดเจ็บในขนาดปานกลาง คือเจ็บจนเดินไม่ถนัดเป็นเวลามากกว่าหนึ่งสัปดาห์แต่ไม่ต้องผ่าตัด ก็ล้วนแล้วแต่จำเป็นจะต้องได้รับการฟื้นฟูกล้ามเนื้อรอบข้อเข่าให้กลับมาทำงานได้อย่างสมบูรณ์ใกล้เคียงกับปกติมากที่สุด เพื่อที่จะลดโอกาสในการเกิดความสึกหรอ และเสื่อมอักเสบของข้อเข่าในระยะยาว

การฟื้นฟูกำลังกล้ามเนื้อรอบข้อเข่าสามารถทำได้ด้วยตัวเองด้วยขั้นตอนต่อไปนี้ ซึ่งสามารถเริ่มได้เมื่ออาการปวดทุเลาลง มีข้อสังเกตคือ จะต้องไม่มีอาการปวดระหว่างทำการบริหาร ถ้ามีอาการปวดแสดงว่าอาจจะยังเร็วเกินไปที่จะบริหาร หรือเกิดจากการบริหารผิดท่า

1. วิธีปฏิบัติท่าเกร็งกล้ามเนื้อเข่าอย่างง่าย ให้นอนหงายใช้หมอน หรือม้วนผ้าขนหนูที่แน่นๆ รองใต้ข้อพับหลังเข่า หนุนให้เข่างออยู่ประมาณ 10-15 องศา จากนั้นออกแรงขา ออกแรงเกร็งเหยียดเข่า กดข้อพับหลังเข่าลงไปสู่หมอนหรือผ้าที่รองไว้ โดยไม่ยกเท้าลอยออกจากเตียง ส้นเท้ายังคงสัมผัสเตียงอยู่ตลอดเวลา จะสังเกตเห็นกล้ามเนื้อหน้าขาเกร็งขึ้น และลูกสะบ้ามีการเลื่อนตัวสูงขึ้น โดยให้เกร็งกล้ามเนื้อค้างไว้ 10-20 วินาทีแล้วพัก ควรทำซ้ำวันละ 30 ครั้ง

2. เมื่อทำท่าดังกล่าวได้คล่องดีแล้ว ไม่มีอาการเจ็บปวด และทำได้ถูกต้อง ควรเพิ่มความยากในการฝึกโดยพยายามบริหารในลักษณะให้เกิดการเกร็งกล้ามเนื้อแบบเดียวกัน โดยไม่ต้องออกแรงกดลงไปกับหมอนหรือผ้าขนหนูที่รองไว้ใต้ขาพับ การทำเช่นนี้จะทำให้กล้ามเนื้อหน้าขาและกล้ามเนื้อหลังขา ทำงานพร้อมๆ กัน ซึ่งเป็นจุดสำคัญเบื้องต้น ในการสร้างความมั่นคงข้อเข่าโดยอาศัยแรงกล้ามเนื้อประคับประคอง

3. เมื่อผู้ป่วยปฏิบัติการเกร็งกล้ามเนื้อได้ถูกต้องโดยไม่เกิดแรงกดกับหมอนรองใต้ข้อเข่า ขั้นต่อไปคือการฝึกการเหยียบก้าวขึ้นและลง mini step ส่วนมากจะแนะนำให้ใช้ไม้กระดานที่มีความหนา 1 นิ้ว และมีความกว้างเพียงพอที่จะไม่พลิกระหว่างที่คนไข้เหยียบ วางแผ่นไม้กับพื้นแล้วก้าวขึ้นไปบนแผ่นไม้ โดยใช้ขาข้างที่ไม่สบายเป็นขาที่ก้าวขึ้นไป และใช้ขาข้างที่สบายก้าวลงมา ในระหว่างการก้าวขึ้นและก้าวลงจะต้องควบคุมกล้ามเนื้อให้ทำงานในลักษณะเดียวกันกับที่ฝึกในท่านั่งและท่านอนมาก่อนแล้วอยู่ตลอดเวลา ถ้าทำได้ถูกต้องกล้ามเนื้อจะช่วยกระชับข้อเข่าไว้ตลอดเวลา ทำให้ไม่มีอาการเจ็บปวด หรือไม่มีการหลวมคลอนแคลนในระหว่างการก้าว การฝึกก้าวเช่นนี้ควรทำโดยเน้นคุณภาพ ทำได้ปริมาณมากๆ แต่ต้องให้คุณภาพดี เช่น อาจจะฝึกได้ถึงวันละ 30-50 ครั้ง แต่ว่าต้องมีการควบคุมที่สมบูรณ์ตลอด มิฉะนั้นจะเสี่ยงต่อการเจ็บมากขึ้น ผู้ที่ฝึกได้ตามนี้ก็น่าจะมีความสามารถในการทำกิจกรรมในระดับพื้นฐานได้ การเดินทางราบ และการเดินเร็วได้ค่อนข้างดี เมื่อทำได้แล้วก็สามารถเพิ่มความสูงของแผ่นรองเหยียบจาก 1 นิ้วกลายเป็น 2 3 4 ถึง 5 นิ้ว ซึ่งจะประมาณเท่ากันกับการก้าวขึ้นลงบันไดธรรมดา

วันนี้คุณหมอได้มาให้คำแนะนำ เกี่ยวกับการฟื้นฟูกล้ามเนื้อรอบหัวเข่ากันไปแล้ว คราวหน้า เรามีข้อมูลเกี่ยวกับเรื่องการป้องกันไม่ให้กล้ามเนื้อหัวเข่าบาดเจ็บมาฝากกันอีก อย่าลืมติดตามกันนะคะ

โยคะสำหรับว่าที่คุณแม่

yoga.jpg


สำหรับว่าที่คุณแม่ ของขวัญชิ้นแรกที่จะสามารถมอบให้กับลูกน้อยได้ คงหนีไม่พ้นเรื่องของความแข็งแรง สุขภาพ และอารมณ์ของเจ้าตัวเล็ก ที่เป็นผล มีความสัมพันธ์กับพฤติกรรมการใช้ชีวิตของคุณแม่ในระหว่างการตั้งครรภ์โดยตรง

ร่างกายของคุณแม่เมื่อตั้งครรภ์นั้น ส่วนต่างๆ ก็จะเปลี่ยนแปลงไป ทั้งระดับของฮอร์โมน และการเปลี่ยนแปลงของระดับสเตียรอยด์ การเปลี่ยนแปลงนี้ยังรวมถึงขนาดของครรภ์ที่ใหญ่ขึ้นที่ทำให้หลังแอ่นเพื่อรักษาจุดศูนย์ถ่วงของร่างกายไว้ มีผลให้กล้ามเนื้อหลักของร่างกายต้องทำงานหนัก และมีการเกร็งมากขึ้นทั้งเพื่อการรับน้ำหนัก และเพื่อการควบคุมร่างกายให้คงความสมดุลไว้ ดังนั้น นอกเหนือจากเรื่องของการดูแลให้รับการพักผ่อนอย่างเพียงพอ ความระมัดระวังในกิจวัตรประจำวัน และเรื่องของโภชนาการแล้ว ว่าที่คุณแม่จึงควรให้ความสำคัญกับเรื่องของการบริหารร่างกาย และการออกกำลังเบาๆ อีกด้วย

วันนี้ นำมาฝากกันค่ะ กับเรื่องของการยืดกล้ามเนื้อ ผ่อนคลายให้เลือดไหลเวียนสะดวก รวมถึงการฝึกลมหายใจ และการฝึกสมาธิด้วยวิถีโยคะ ซึ่งเป็นทางเลือกที่ดีมากๆ สำหรับคุณแม่ทุกท่าน มาดูกันค่ะ ว่าท่าโยคะที่เหมาะกับคุณแม่ตั้งครรภ์ มีอะไรกันบ้าง

1. ท่าฝึกลมหายใจ นั่งสมาธิ

เริ่มต้นด้วยการ นั่งตัวตรง  เอามือวางที่หน้าท้อง ให้สังเกต และมีสมาธิจดจ่อที่การขยับตัว การดิ้นของลูก โดยปกติเด็กจะเริ่มดิ้นเมื่อมีอายุครรภ์ประมาณ  20  สัปดาห์ สำหรับท้องแรก  และประมาณ  16 สัปดาห์ หรือ 4 เดือนในท้องต่อๆ มา วัตถุประสงค์ของการเริ่มต้นเช่นนี้ เพื่อให้เกิดความผ่อนคลาย  มีสมาธิ  และให้ร่างกาย และจิตใจอยู่ในสภาพพร้อมสำหรับการฝึกในท่าต่อไป
ให้อยู่ในท่านี้นานประมาณ 5 นาทีค่ะ

2. ท่าบริหารคอ

วิธีบริหาร ในขณะที่สูดลมหายใจเข้า ให้ตั้งหน้าตรง สูดหายใจให้เต็มปอด ก่อนค่อยๆ ผ่อนลมหายใจออกช้าๆ ขณะเดียวกับที่ค่อยๆ ก้มหน้าลงจนคางชิดอกมากที่สุด  จากนั้น เริ่มหายใจเข้า และเงยหน้าขึ้นอีกครั้ง ทำสลับกันประมาณ 2-3 รอบ จากนั้น สลับ เป็นท่าหัน ซ้าย-ขวา โดย เริ่มต้นด้วยใบหน้าตั้งตรง หายใจเข้าช้าๆ จนเต็มปอด จากนั้น ผ่อนลมหายใจออก พร้อมกับค่อยๆ หันหน้าไปด้านซ้าย จนรู้สึกว่าตึง หายใจเข้าอีกครั้งพร้อมกับหันหน้ากลับมาสู่ท่าเริ่มต้น จากนั้น ผ่อนลมหายใจออกช้าๆ พร้อมกับค่อยๆ หันหน้าไปทางขวา จนรู้สึกตึง หายใจเข้า พร้อมหันหน้ากลับสู่ท่าเริ่มต้นอีกครั้ง ทำสลับกันไปเรื่อยๆ ประมาณ 2-3 รอบ และสลับเป็นท่าเอียงคอ ในลักษณะคล้ายๆ กัน คือเริ่มต้นจากท่านั่งหันหน้าตรง หายใจเข้าพร้อมกับยกมือข้างขวาขึ้นระดับหัวไหล่ จากนั้น ผ่อนลมหายใจออก พร้อมกับนำมืออ้อมศีรษะ กดลงด้านข้างช้าๆ จนรู้สึกตึง แล้วหายใจเข้าช้าๆ ในขณะที่กลับสู่ท่าเริ่มต้น สลับทำทั้งซ้ายและขวา ด้านละ 2-3 ครั้ง ค่ะ

3. ท่าหายใจด้วยท้อง

เริ่มต้นด้วยการหายใจเข้า พร้อมยกมือพนมขึ้นที่เหนือศีรษะ จากนั้นผ่อนลมหายใจออก พร้อมๆ กับค่อยๆ ลดมือลง ท่านี้ ทำประมาณ 3-4 รอบค่ะ

4. ท่าพระจันทร์เสี้ยว

เริ่มต้นด้วยการหายใจเข้า พร้อมๆ กับกางมือออกข้างลำตัวในระดับไหล่ จากนั้น ค่อยๆ ผ่อนลมหายใจออกยกแขนขวาขึ้นเหนือศีรษะ และลดแขนซ้ายลงข้างลำตัว ก่อนจะค่อยๆ เอื้อมมือขวาเหนือศีรษะ ไปทางด้านซ้าย เป็นวงโค้งคล้ายพระจันทร์เสี้ยว หายใจเข้าอีกครั้ง และกลับสู่ท่าเริ่มต้น ทำสลับกันข้างละ 2-3 รอบ

5. ท่าผีเสื้อ

เริ่มต้นด้วยการนั่ง ลำตัวตรง และให้ฝ่าเท้าประกบกันไว้ ใช้มือจับเข่าทั้งสองกดลงแนบกับพื้นเท่าทืทำได้แล้วปล่อย ท่านี้ จะช่วยให้ข้อสะโพกและกระดูกหัวเหน่าขยายออก ช่วยให้คุณแม่คลอดได้ง่ายขึ้น ต่อมา ใช้มือทั้งสองจับปลายเท้าไว้ กดเข่าให้ชิดพื้นมากที่สุด  จากนั้นหายใจเข้าช้าๆ ยืดอกขึ้นให้เต็มที่จนสุด หายใจออกพร้อมกับค่อยๆ ก้มตัวลงให้หน้าผากชิดกับปลายเท้ามากที่สุดที่สามารถทำได้ และค้างไว้ จากนั้นสูดลมหายใจเข้าพร้อมกับเงยหน้าขึ้นสู่ท่าเริ่มต้น ทำซ้ำประมาณ 2-3 ครั้ง จากนั้นให้ฝึกต่อด้วยท่าขมิบก้น โดยให้นั่งในท่าเดิม หายใจเข้าช้าๆ แล้วหายใจออก ในขณะที่ขมิบก้น และช่องคลอดค้างไว้ 5-10 วินาที และผ่อนคลายทำซ้ำ 10-20 ครั้ง และหาก ฝึกเป็นประจำ จะช่วยให้กล้ามเนื้อหูรูดมีความยืดหยุ่นขยายตัวดี ช่วยในระบบขับถ่ายปัสสาวะ ลำไส้เล็ก อุ้งเชิงกราน มดลูก และรังไข่ ทั้งยังกระตุ้นระบบประสาทที่ควบคุมการบีบตัวของกระเพาะปัสสาวะ บรรเทาอาการกลั้น ปัสสาวะไม่อยู่อีกด้วยค่ะ

ข้อสำคัญสำหรับการฝึกโยคะในระหว่างตั้งครรภ์ คือควรปรึกษาแพทย์ก่อนทำการฝึก และควรได้รับการดูแลเป็นพิเศษจากผู้ที่มีความรู้ในระหว่างการฝึกอีกด้วย ทั้งร่างกายของแต่ละคนก็มีความยืดหยุ่น และมีสรีระที่แตกต่างกันออกไป ดังนั้นการฝึกควรทำอย่างค่อยเป็นค่อยไป เน้นในเรื่องการฝึกลมหายใจ และการทำสมาธิ ที่สำคัญจะต้องไม่ยืด เหยียด จนร่างกายตึงจนเกินไปค่ะ

เมื่อลูกๆ เข้าสู่วัยรุ่น

teen.jpg
เมื่อลูกๆ เริ่มเข้าสู่วัยรุ่น ช่วงวัยที่เริ่มมีเพื่อน และติดเพื่อน เป็นวัยที่มีความเป็นตัวของตัวเองสูง อาจจะชอบเลียนแบบดารานักแสดงที่ชื่นชอบ ต้องการมีพื้นที่ของตัวเอง วัยนี้เป็นวัยที่เริ่มจะดูแลตัวเองได้ คุณพ่อคุณแม่อาจถอยห่างออกมาสักนิด และเริ่มให้พวกเขาได้รับผิดชอบในเรื่องราวต่างๆ เกี่ยวกับตัวเอง เปลี่ยนจากบทบาทของผู้ที่คอยทำทุกอย่างให้ มาเป็นเพื่อนคู่คิดที่คอยให้คำปรึกษาพวกเขาอยู่ใกล้ๆ แทน

ช่วงวัยนี้เป็นช่วงที่มีพัฒนาการในด้านร่างกายในหลายๆ ส่วน ซึ่งรวมถึงพัฒนาการเรื่องฟัน จึงจำป็นอย่างยิ่งที่จะต้องให้คำแนะนำที่ถูกต้องในเรื่องการดูแลสุขภาพในช่องปาก เพื่อให้เด็กๆ ได้ดูแลฟันได้อย่างเหมาะสม และมีสุขภาพปากและฟันที่แข็งแรงค่ะ
วันนี้ เรามีคำแนะนำดีๆ เกี่ยวกับเรื่องสุขภาพในช่องปากของวัยรุ่นมาแนะนำกันค่ะ
เมื่อสำรวจฟันของวัยรุ่น จะพบว่าฟันน้ำนมหลุดออกไปหมดหรือเกือบหมด และมีฟันแท้ขึ้นมาแทนที่เต็มปากแล้ว จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องดูแลฟันแท้เหล่านี้ให้ดีที่สุด เพราะจะเป็นฟันชุดที่จะอยู่กับพวกเขาไปอีกหลายสิบปี

วัยรุ่น จะอยู่ในช่วงวัยที่ฟันแท้ขึ้นเกือบครบแล้ว และอย่างที่บอก คือเป็นฟันชุดที่จะต้องอยู่กับเค้าไปอีกหลายสิบปี แต่ด้วยกิจกรรมต่างๆ ที่วัยรุ่นมักจะมีมากมายตลอดวัน นอกเหนือจากเรื่องเรียน ไม่ว่าจะเป็น การเล่นเกมส์ เล่นกีฬา การไปเที่ยว หรืองานอดิเรกต่างๆ มักจะทำให้วัยรุ่นละเลยในเรื่องของการดูแลช่องปาก จึงเป็นหน้าที่ของคุณพ่อ คุณแม่ ที่จะต้องคอยเตือนให้แปรงฟันหลังอาหารทุกมื้อ และหัดใช้ไหมขัดฟันด้วยตัวเองอย่างสม่ำเสมอทุกวัน
นอกจากนั้น อาหารในปัจจุบันมีน้ำตาลผสมอยู่เยอะ วัยรุ่นไม่ค่อยระวังเรื่องของการรับประทานอาหารเท่าไรนัก พวกเขาอาจจะทานอาหารฟาสต์ฟู้ด ทานขนมหวาน ของขบเคี้ยว โดยเฉพาะน้ำอัดลม ซึ่งจะทำลายความแข็งแรงของฟันได้ จึงควรบ้วนปากหลังจากทานอาหารเหล่านี้ทุกครั้งค่ะ

วัยรุ่นเป็นวัยที่มีความคึกคะนอง และความอยากทดลองอะไรแปลกๆ มากมาย กิจกรรมเหล่านั้นอาจทำให้เกิดอันตรายกับฟันได้ ไม่ว่าจะเป็น กีฬาผาดโผนต่างๆ ที่อาจทำให้ฟันหัก หรือฟันบิ่นได้ จึงควรแนะนำให้พวกเขารู้จักใส่เครื่องป้องกันฟัน หรือหลีกเลี่ยงกิจกรรมผาดโผนที่อันตราย หรือมีความเสี่ยงสูง

คุณพ่อ คุณแม่ ควรพาบุตรหลานไปพบทันตแพทย์ทุกๆ 6 เดือนนะคะ เพื่อไปตรวจฟัน ทำความสะอาดช่องปาก และทำการรักษาแต่เนิ่นๆ เพื่อป้องกันฟันผุ ไม่ว่าจะเป็นการเคลือบหลุม และร่องฟันในฟันกรามน้ำนม ฟันกรามแท้ หรือเคลือบฟลูออไรด์ หากพบว่ามีฟันผุก็จะได้ทำการรักษาเสียแต่เนิ่นๆ ก่อนจะมีอาการรุนแรงค่ะ

ปัจจุบันมักพบว่าเด็กมีการสบฟันที่ผิดปกติในลักษณะต่างๆ ได้ เช่น ฟันซ้อนเก ฟันห่าง ฟันยื่น เป็นต้น ซึ่งลักษณะของการสบฟันที่ผิดปกตินี้สามารถแก้ไขได้ด้วยการจัดฟันค่ะ

ซึ่งวัยรุ่นนั้นมักจะทำอะไรเลียนแบบกัน จนเคยมีอยู่ช่วยหนึ่ง ที่มีกระแสของการจัดฟันขึ้นมา เด็กๆ ก็พยายามหาอุปกรณ์ต่างๆ มาติดฟันไว้ ซึ่งเป็นเรื่องที่น่าเป็นห่วงมาก เพราะพวกเขากำลังทำร้ายฟันอย่างไม่รู้ตัว
จริงๆ แล้ว “การจัดฟัน” ถือเป็นการรักษาทางทันตกรรมอย่างหนึ่งซึ่งจะต้องมีการตรวจ วิเคราะห์และวางแผนการรักษาอย่างรัดกุมก่อนดำเนินการรักษา และจะต้องทำการรักษาโดยทันตแพทย์เฉพาะทางหรือฝึกฝนงานด้านจัดฟันมาโดยเฉพาะ เครื่องมืออุปกรณ์ที่ใช้ก็ต้องผลิตด้วยวัสดุที่สามารถใช้ในช่องปากได้อย่างปลอดภัย

เครื่องมือจัดฟันในปัจจุบันก็มีทั้งแบบถอดได้และแบบติดแน่น สำหรับแบบติดแน่นก็มีความแตกต่างกันไปตามวัสดุที่ผลิต เทคนิกการรักษา เช่น เครื่องมือชนิดโลหะ เซรามิก แซฟไฟร์ พลาสติก แบบติดด้านนอก หรือแบบติดด้านใน ยึดลวดกับ brackets ด้วยยางสีต่างๆ

หลายๆ ครั้งคุณพ่อคุณแม่อาจสงสัยว่า ควรจะพาลูกๆ ไปจัดฟันเมื่ออายุเท่าไหรดี
อายุที่เหมาะสมสำหรับการจัดฟัน คือ ประมาณ 12-15 ปี เมื่อฟันแท้ขึ้นมาครบทุกซี่แล้วค่ะ โดยเมื่ออยู่ในช่วงที่มีการจัดฟันนั้น ภายในช่องปากจะมีเครื่องมือติดแน่น จึงจำเป็นต้องดูแลตัวเองเป็นพิเศษ มิฉะนั้นจะมีโอกาสเกิดฟันผุและเหงือกอักเสบได้ง่าย ควรแปรงฟันทุกครั้งหลังรับประทานอาหาร เพราะอาหารจะติดตามเครื่องมือได้ง่าย ควรพกแปรงสีฟันติดตัวไว้เลยค่ะ แต่ไม่ต้องกังวลนะคะว่าจะแปรงยังไง เพราะเวลาที่คุณหมอจัดฟันติดเครื่องมือให้แล้ว คุณหมอหรือผู้ช่วยของคุณหมอจะอธิบายถึงวิธีการแปรงฟันให้ค่ะ

เมื่อทำการจัดฟัน อาจจำเป็นต้องหลีกเลี่ยงอาหารบางจำพวก เช่นอาหารที่แข็ง หรือเหนียวจนเกินไป เพราะจะทำให้เครื่องมือหลุด หรือลวดเกี่ยวปากได้ หลีกเลี่ยงอาหารหวาน หรือน้ำอัดลม เพราะจะทำให้ฟันผุได้ง่าย

ส่วนอาการเจ็บฟันนั้น ถือเป็นเรื่องปกติที่จะพบหลังการรักษาในแต่ละเดือน โดยปกติจะเจ็บอยู่ 2-3 วัน หรือบางคนอาจนานถึงจะ 1 สัปดาห์ ในระหว่างนี้ให้รับประทานอาหารอ่อนๆ เช่น ข้าวต้ม โจ๊ก นม หรือ ขนมปัง แต่ถ้าพบว่ามีฟันซี่ใดซี่หนึ่งเจ็บผิดปกติก็ให้รีบกลับไปพบคุณหมอนะคะเพื่อตรวจหาสาเหตุและช่วยแก้ไขให้ค่ะ
สิ่งที่ต้องหรือเลี่ยง คือ การเล่นกีฬาที่อาจเป็นอันตรายบริเวณใบหน้า เช่น กีฬาลูกบอลประเภทต่างๆ ตะกร้อ กีฬามวย หรือกีฬาผาดโผนต่างๆ โดยหากจำเป็นต้องการเล่น ก็ต้องใส่อุปกรณ์ป้องกันศีรษะ และใบหน้า และหากเกิดอุบัติเหตุใดๆ กับช่องปากและใบหน้าในระหว่างจัดฟันต้องรีบกลับไปพบคุณหมอโดยด่วนเลยนะคะ

วัยรุ่นถือช่วงวัยที่เราจะปลูกฝังเรื่องการดูแลรักษาฟันด้วยตนเอง คุณพ่อคุณแม่จึงควรสร้างวินัยที่ดี ให้พวกเขาได้รู้จักรับผิดชอบดูแล ทำความสะอาดช่องปากพวกเขาอย่างถูกต้อง เพื่อสุขภาพปากและช่องฟันที่ดีที่จะติดตัวไปกับพวกเขาเองในอนาคตค่ะ

ทำอย่างไรดี … อยากมีน้องซักคน

ท้อง.jpg

อาจเป็นเพราะบทบาท หน้าที่การงาน ความเร่งรีบ หรือวิถีชีวิตที่เปลี่ยนไป ที่ทำให้การคิดจะมีลูกซักคน ในหลายๆ ครอบครัวที่แต่งงานไปแล้ว กลับกลายเป็นเรื่องยาก
ใครที่ยังไม่เจอกับปัญหานี้อาจจะไม่รู้สึกว่าเป็นเรื่องทุกข์ใจสักเท่าใหร่ แต่สำหรับคนที่อยากเป็นพ่อ-แม่ แล้วยังไม่มีวี่แววว่าจะมีเจ้าตัวน้อยสักที กลับเป็นการรอคอยที่ยาวนานมากๆ เลยล่ะ วันนี้เราเลยมีความรู้ดีๆ มาฝากกันค่ะ

รู้ไหมคะ ว่าปัญหาของการมีบุตรยากนั้น ประมาณ 40% เกิดจากฝ่ายชาย โดยเกิดจากการสร้างเชื้อที่ผิดปกติ ทำให้ไม่มีเชื้อ หรือได้เชื้ออสุจิที่คุณภาพไม่ดี มีจำนวนเชื้อน้อย เคลื่อนไหวน้อย หรือมีรูปร่างผิดปกติมาก วันนี้เราจึงขอเริ่มต้นที่การแก้ปัญหาในส่วนของฝ่ายชายกันก่อน การตรวจเชื้ออสุจิ เป็นวิธีหลักในการตรวจ ที่ใช้ในการวินิจฉัยภาวะมีบุตรยากในฝ่ายชาย องค์การอนามัยโลกได้กำหนดค่ามาตรฐานของอสุจิปกติเอาไว้ คือ ในการหลั่งอสุจิออกมาแต่ละครั้งจะต้องมีปริมาตรระหว่าง 2-6 มิลลิลิตร และมีฤทธิ์เป็นด่าง มีค่า pH ปกติอยู่ระหว่าง 7.2 – 8.5 และความเข้มข้นของตัวอสุจิในน้ำอสุจิควรจะมีมากกว่า 20 ล้านตัว / 1 มิลลิลิตร หากมีความเข้มข้นต่ำกว่านี้แล้ว จะพบว่าอัตราการตั้งครรภ์ตามธรรมชาติก็จะมีแนวโน้มที่จะลดลงด้วย ความก้าวหน้าทางการแพทย์ในปัจจุบัน สามารถช่วยให้ฝ่ายชายที่เป็นหมัน คือไม่มีตัวอสุจิในน้ำอสุจิ ซึ่งอาจมีสาเหตุมาจาก การอุดตันของท่อนำอสุจิ หรือการไม่มีท่อนำอสุจิมาตั้งแต่กำเนิด มีปัญหาในเรื่องของการหลั่ง ตัวอสุจิที่หลั่งออกมาตายหมด หรือมีการอักเสบของอัณฑะเนื่องจากเชื้อไวรัสคางทูม หรือเชื้ออื่นๆ ให้สามารถมีบุตรของตนเองได้ โดยการนำเอาตัวอสุจิออกมาใช้ในขบวนการอิ๊คซี่ ด้วยวิธีการต่อไปนี้ค่ะ
– พีซ่า (PESA = Percutaneous Epididymal Sperm Aspiration) คือ การใช้เข็ม แทงผ่านผิวหนังบริเวณอัณฑะเข้าไปในท่อพักน้ำเชื้อ แล้วดูดตัวอสุจิออกมา
– มีซ่า (MESA = Microsurgical Epiddymal Sperm Aspiration) คือ การผ่าตัดเข้าไปหาท่อพักน้ำเชื้อส่วน epididymis แล้วจึงใช้เข็มแทงเข้าไป และดูดตัวอสุจิออกมา
– ทีซ่า (TESA = Testicula Sperm Aspiration) คือ การใช้เข็มแทงผ่านผิวหนังบริเวณอัณฑะเข้าไปในลูกอัณฑะ แล้วดูดตัวอสุจิออกมา
– ทีซี่ (TESE = Testicular biopsy Sperm Extraction) คือ การผ่าตัดเอาเนื้ออัณฑะออกบางส่วน แล้วแยกตัวอสุจิที่ค้างอยู่ในเนื้ออัณฑะออกมา ทั้งหมดนี้เป็นส่วนหนึ่งที่จะนำไปสู่การแก้ปัญหาเรื่องการมีบุตรยากที่เกิดจากฝ่ายชายค่ะ

สำหรับอีกทางเลือก สำหรับผู้มีบุตรยาก ก็คือการปฏิสนธินอกร่างกาย (In vitro fertilization) ซึ่งก็คือการนำไข่และอสุจิมาผสมให้เกิดการปฏิสนธิกลายเป็นตัวอ่อนในห้องทดลอง หลังจากนั้นจึงนำตัวอ่อนที่เกิดขึ้นใส่กลับเข้าโพรงมดลูกของฝ่ายหญิง เพื่อให้เกิดการตั้งครรภ์
หลักการของการปฏิสนธินอกร่างกาย คือ การกระตุ้นไข่ในฝ่ายหญิง จากนั้นก็ต้องติดตามการเจริญเติบโตของไข่ และเก็บไข่ หลังจากนั้นนำไข่มาผสมกับเชื้ออสุจิในห้องทดลอง เพื่อให้เกิดการปฏิสนธิ โดยต้องควบคุมอุณหภูมิ ความชื้น ปริมาณก๊าซต่างๆ ในบรรยากาศให้เหมาะสม และใช้น้ำยาเลี้ยงตัวอ่อนที่เตรียมไว้เป็นพิเศษ ประมาณ 16-18 ชั่วโมงหลังการปฏิสนธิ จะเริ่มเกิดการแบ่งตัวเป็นตัวอ่อน และหลังจากนั้นอีก 24 ชั่วโมง จะมีการแบ่งตัวเป็นตัวอ่อนระยะ 2-4 เซลล์ และเป็นตัวอ่อนระยะ 8-12 เซลล์ ในอีก 24 ชั่วโมงต่อมา โดยจะทำการเลี้ยงตัวอ่อนต่ออีกประมาณ 3-5วัน จึงจะทำการย้ายตัวอ่อนกลับเข้าสู่โพรงมดลูก เพื่อให้มีการฝังตัวและเจริญเติบโตต่อไป
โดยปกติแล้ว ตัวอ่อนจะถูกใส่กลับจำนวน 2-3 ตัว ถ้ามีเหลืออยู่อีก และเป็นตัวอ่อนที่แข็งแรง ก็จะทำการแช่แข็งเก็บไว้ ให้ตัวอ่อนที่แช่แข็งสามารถนำมาใส่กลับได้อีกในรอบต่อไปของการรักษา

แล้วกรณีไหนบ้างที่เหมาะกับการทำการปฏิสนธินอกร่างกาย คุณหมอได้ให้ความรู้มาค่ะ ว่าผู้ที่เหมาะกับการทำการทำการปฏิสนธินอกร่างกาย ได้แก่
1. ฝ่ายหญิงมีความผิดปกติของท่อนำไข่ตีบหรือตันทั้งสองข้าง
2.ฝ่ายหญิงมีพังผืดในอุ้งเชิงกรานมาก และรักษาด้วยการผ่าตัดแล้วไม่ได้ผล
3.ฝ่ายหญิงมีภาวะเยื่อบุโพรงมดลูกเจริญผิดที่ และรักษาภาวะนี้แล้วด้วยวิธีอื่นไม่ได้ผล
4.เชื้ออสุจิฝ่ายชายคุณภาพไม่ดี ซึ่งรักษาด้วยวิธีอื่นแล้วไม่ได้ผล
5.ภาวะมีบุตรยากที่ไม่ทราบสาเหตุ

และเป็นธรรมดาค่ะ ใครที่หวังจะมีบุตร และถึงขนาดมาปรึกษาคุณหมอกัน ก็ย่อมตั้งความหวังไว้แล้วล่ะค่ะว่าจะได้เห็นหน้าลูกน้อยในเร็ววัน สำหรับอัตราความสำเร็จของวิธีดังกล่าวนั้น อยู่ที่ประมาณ 40-50% ค่ะ ทั้งนี้ขึ้นกับอายุของฝ่ายหญิงด้วย
รู้อย่างนี้แล้ว น่าจะช่วยเพิ่มความหวังให้กับผู้ที่อยากจะมีน้อง แต่รู้สึกว่าตัวเองอาจจะอยู่ในภาวะการมีบุตรยากให้ได้สบายใจมากขึ้นนะคะ เรื่องการมีบุตรยากเป็นปัญหาที่ละเอียดอ่อน และเฉพาะตัว ผู้ที่อยากได้คำปรึกษาเพิ่มเติม แนะนำให้ติดต่อเพื่อขอเข้าไปปรึกษากับคุณหมอโดยตรงจะดีที่สุดค่ะ ^^

เลี้ยงลูกอย่างไร ให้สูงสมใจคุณแม่


คุณพ่อ คุณแม่ มักมีเรื่องกังวลใจว่าลูกเรา สูงน้อยไปซักหน่อยหรือเปล่า กรรมพันธุ๋มีผลแค่ไหน และจะเลี้ยงลูกอย่างไรให้ตัวสูงๆ วันนี้เรามีเคล็ดลับง่ายๆ ที่จะทำให้เด็กๆ ตัวสูงได้มาฝากกันค่ะ

ก่อนอื่น เรามาทำความเข้าใจซักนิด ว่าระดับความสูงของลูกนั้น จะเกี่ยวกับพันธุกรรมกันมากน้อยแค่ไหน

ตามสถิติแล้วความสูงของเด็กโดยเฉลี่ย จะสัมพันธ์กับความสูงของ คุณพ่อ และคุณแม่ ค่ะ คือ โดยเฉลี่ยแล้ว ความสูงของเด็กผู้ชาย จะเท่ากับความสูงเฉลี่ยของคุณพ่อและคุณแม่ บวกกับอีกประมาณ 5.5 ซ.ม.(ความสูงคุณพ่อ + ความสูงคุณแม่)/2 + 5.5 ซ.ม. และความสูงของเด็กผู้หญิง จะเท่ากับความสูงเฉลี่ยของคุณพ่อ และคุณแม่ ลดลงไปประมาณ 5.5 ซ.ม. ค่ะ (ความสูงคุณพ่อ + ความสูงคุณแม่)/2 – 5.5 ซ.ม.
ทั้งนี้ความสูงของเด็กจะแปรผันตามปัจจัยอื่นๆ ด้วย สามารถ บวก ลบ ได้อีกประมาณ 10 เซนติเมตรค่ะ

เคล็ดลับเพิ่มความสูง
สิ่งแรกเลย โภชนาการค่ะ
เนื้อ นม ไข่ และอาหารประเภทโปรตีน เป็นสิ่งจำเป็นสำหรับเด็กๆ ที่กำลังเจริญเติบโต เพราะร่างกายจะนำสารอาหารเหล่านี้ไปใช้ในการสร้างกล้ามเนื้อ และกระดูก

ส่วนต่อมา การพักผ่อนที่เพียงพอ
เด็กๆ เดี๋ยวนี้นอนดึกกันมาก กิจกรรมที่เด็กๆ ชอบทำช่วงกลางคืนทำให้เข้านอนช้า และพักผ่อนไม่เพียงพอ ช่วงเวลาที่ฮอร์โมนในร่างกายอย่างเช่น โกรทฮอร์โมน หลั่งมาก คือในช่วงเวลาประมาณ 2 ทุ่ม ไม่เกิน 4 ทุ่ม และจะต้องเป็นระหว่างการนอนหลับสนิทเท่านั้น โกรทฮอร์โมนจะทำหน้าที่กระตุ้นการเจริญเติบโตของเซลล์กระดูกค่ะ

ส่วนสุดท้าย การออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ
การออกกำลังกายที่เหมาะกับการเพิ่มความสูง คือ การออกกำลังกายที่ต้องลงน้ำหนักที่กระดูกขา เช่น การวิ่ง กระโดดเชือก กีฬาที่มีการกระโดด เช่นวอลเล่ย์บอล บาสเกตบอล หรือการออกกำลังกายแบบยืดตัว เช่น การโหนบาร์ก็ช่วยได้ค่ะ

ปัจจุบัน แม้จะมีการเพิ่มความสูงด้วยวิธีอื่นๆ มากมาย ไม่ว่าจะเป็นการทานอาหารเสริม การทานแคลเซียม หรือการฉีดฮอร์โมน ทั้งหมด อาจจะเป็นทางเลือกที่พ่อแม่เริ่มให้ความสนใจ แต่ในความเห็นของคุณหมอหลายๆ ท่าน มองว่า ยังไม่มีใครทราบถึงผลกระทบที่อาจจะตามมาในระยะยาว วิธีตามธรรมชาตินี่ล่ะที่ปลอดภัย และสบายใจได้มากที่สุดค่ะ

สมองสดใส ไอเดียปิ๊ง ง่ายๆ

brain.jpg
หลายๆ คนรู้จักกับอาการสมองเสื่อม โรคความจำเสื่อม หรือโรคอัลไซเมอร์ ในฐานะโรคของผู้สูงอายุ เพราะเข้าใจว่าโรคเหล่านี้จะเกิดกับผู้สูงอายุ และยังจะไม่ต้องกังวลในวัยหนุ่มสาว ทว่า แท้ที่จริง โรคเกี่ยวกับความเสื่อมของสมอง อาจเริ่มเกิดขึ้นตั้งแต่วัย 30-40 โดยที่เรายังไม่รู้ตัวก็เป็นได้ค่ะ แต่ด้วยความที่อาการมักจะแสดงออกชัดเจนเมื่ออายุมากขึ้น กว่าจะรู้ตัวก็มักจะสายเกินไปเสียแล้ว

ลองเช็คดูกันซักหน่อย ว่าเราเริ่มมีอาการหลงๆ ลืมๆ วางของแล้วจำไม่ได้ ลืมนัด ลืมชื่อคน เริ่มมีอาการพิมพ์ดีดผิดจากที่ไม่เคยเป็น หรือเริ่มนึกอะไรๆ ออก ช้ากว่าที่เคยกันบ้างหรือเปล่า เหล่านี้ ล้วนเป็นอาการที่เป็นสัญญาณเกี่ยวกับสมอง ที่ไม่ควรละเลยกันแล้วล่ะค่ะ

โรคสมองเสื่อม แม้จะเป็นไปตามธรรมชาติ แต่หากมีการดูแลที่ดี ก็อาจเป็นหนทางป้องกัน และบำรุงสมองของเราให้ทำงานได้เป็นปกติไปได้อีกนานๆ มาดูกันเลยค่ะกับ 5+2 วิธีดูแลสมองของเรา

ประการแรก ดูแลเรื่องโภชนาการ … เราอาจจะได้รับข้อมูลว่าผลิตภัณฑ์อาหารเสริมหลายๆ ชนิดมีส่วนช่วยในการบำรุงสมอง ทว่าการรักษาสมดุลทางโภชนาการ ให้ร่างกายได้รับสารอาหารที่เหมาะสมในแต่ละมื้อกลับเป็นเรื่องที่สำคัญกว่า เพราะฉะนั้น อย่าลืมดูแลให้ร่างกายได้รับสารอาหารให้ครบถ้วน ทั้งโปรตีน คาร์โบไฮเดรต ไขมัน วิตามิน รวมถึงแร่ธาตุ และอย่าลืม ทานอาหารเช้าในทุกๆ วัน เพราะอาหารเช้า จะเป็นตัวช่วยในการรักษาระดับน้ำตาลในเลือดให้คงที่ ซึ่งจะมีผลต่อการทำงานของสมองค่ะ

ประการที่สอง พักผ่อนให้เพียงพอ … สมอง จำเป็นต้องได้รับการพักผ่อนเช่นเดียวกับส่วนอื่นๆ ของร่างกาย การพักผ่อนที่ไม่เพียงพอจะส่งผลต่อการทำงานของสมอง ทั้งในด้านการใช้ความคิด และการตื่นตัวของสมอง

ประการที่สาม ฝึกสมอง…  ร่างกายที่แข็งแรง จำเป็นต้องได้รับการออกกำลังกายที่เหมาะสม เช่นเดียวกับสมองของเรา การใช้สมองในการเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ ภาษาใหม่ๆ รวมถึงเกมส์ที่ใช้สมองอย่างเช่นหมากกระดาน เกมส์คำศัพท์ หรือเกมส์ประเภทตัวเลข ล้วนเป็นการบริหารสมองที่ดีทั้งสิ้น สมองที่สมบูรณ์ จำเป็นต้องได้รับการบริหาร เริ่มบริหารสมองเสียตั้งแต่วันนี้ค่ะ

ประการที่สี่ ออกกำลังกาย … การทำงานของสมอง ย่อมเป็นผลมาจากการทำงานของระบบอื่นๆ ของร่างกาย หมั่นออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ ให้หัวใจได้สูบฉีดเลือดอย่างเต็มที่อย่างน้อย สัปดาห์ละ 2-3 ครั้ง สมองที่ดี จำเป็นต้องอาศัยร่างกาย และระบบการทำงานที่ดี ที่สำคัญ การออกกำลังกายจะมีส่วนช่วยในการทำงานของสมองในส่วนของการตัดสินใจ และความจำ

ประการที่ห้า บริหารความเครียด และจดจำเรื่องราวที่ดี … สมองของเราทำงานได้ดีในขณะที่เรามีความสุขค่ะ พยายามลดภาวะความเครียด ผ่อนคลายด้วยการทำสมาธิ หางานอดิเรก หรือไปเที่ยวพักผ่อนเมื่อรู้สึกว่าเรามีความเครียดมากจนเกินไป เข้าสังคม พบปะกับผู้คน รวมถึงจดจำเรื่องราวดีๆ ที่เกิดขึ้นในแต่ละวัน สิ่งเหล่านี้ มีผลต่อการทำงานของสมองทั้งสิ้น

ดูแลสมองตามที่กล่าวมาแล้ว สิ่งสำคัญอีกสิ่งหนึ่งก็คือการดื่มน้ำให้เพียงพอ … เพราะ น้ำ เป็นส่วนประกอบสำคัญของสมอง และมีความสำคัญต่อการทำงานของสมองไม่น้อยไปกว่าระบบอื่นๆ ภายในร่างกาย แปลว่าสมอง จำเป็นต้องได้รับน้ำในปริมาณที่เพียงพอและเหมาะสม พยายามดื่มน้ำให้มากในแต่ละวัน เพราะนอกจากความสดชื่นที่ได้รับแล้ว ยังจะช่วยให้สมองทำงานได้ดีขึ้นอีกด้วย ที่สำคัญ น้ำเปล่า ดีที่สุดนะคะ

และนอกเหนือจากการดูแลสมองให้แข็งแรงแล้ว อย่าลืมช่วยลดการทำร้ายสมอง ด้วยการลดสิ่งที่เป็นอันตรายกับสมองกันด้วย เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ บุหรี่ สารเสพติดทุกชนิด เป็นอันตรายต่อสมอง ทางที่ดี อยู่ห่างๆ ไว้จะดีที่สุดเลยค่ะ

เอาล่ะ ได้ทราบกันไปแล้ว ถึงแนวทางในการดูแล รักษาสมองของเราให้มีสุขภาพที่ดี อย่าปล่อยให้สมองของเราเสื่อมจนเกินจะแก้ไข เริ่มดูแลเสียตั้งแต่วันนี้ เพราะเรื่องราวดีๆ ในชีวิตยังมีอยู่อีกมากมายให้จดจำ เตรียมสมองไว้รับกับเรื่องราวเหล่านั้นไปด้วยกัน ที่สำคัญ ไอเดียดีๆ ย่อมต้องมาจากสมองที่สุขภาพดีเช่นกันค่ะ ^^

ไข้หวัดธรรมดา VS COVID-19

covid-19-18-03-20
สถานการณ์ไวรัส Covid-19 ยังคงระบาดอย่างต่อเนื่อง ล่าสุดตอนนี้ประเทศไทยมีจำนวนผู้ติดชื้ออยู่ที่ 1,388 คน (ข้อมูลอัพเดตล่าสุดเมื่อวันที่ 29 มีนาคม 2563) ซึ่งในหลายคนพอเริ่มมีอาการเจ็บป่วย มีไข้ ไอ เจ็บคอ อาจกำลังวิตกกังวลว่าตัวเราเป็น “ไข้หวัดธรรมดา” หรือติด “ไวรัส COVID-19” กันแน่ วันนี้ มาดูกันค่ะ ว่าอาการของไข้หวัดธรรมดา กับ อาการของ Covid-19 ต่างกันอย่างไรบ้าง

ไข้หวัดธรรมดา มักเกิดจากเชื้อไวรัสไรโนไวรัส (Rhinovirus) 30-80% เป็นไวรัสที่ทำให้เกิดโรคกับจมูก คือหวัดธรรมดา และไวรัสอีกชนิดที่เป็นสาเหตุของไข้หวัดคือ โคโรนาไวรัส (Coronavirus) 10-15% แต่เป็นไวรัสโคโรนาที่ค้นพบ และมีมานานแล้ว โดยมีการพบเชื้อไวรัสโคโรนาที่ติดต่อในมนุษย์แล้ว 6 สายพันธุ์ ส่วนโรค COVID-19 เกิดจาก ไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ 2019 ซึ่งทำให้มีอาการปอดอักเสบรุนแรงได้ โดยเป็นเชื้อไวรัสที่เพิ่งถูกค้นพบใหม่ นับเป็นสายพันธุ์ที่ 7 ของไวรัสโคโรนาที่ติดต่อในมนุษย์

อาการของโรคไข้หวัดธรรมดา

  • มีไข้ต่ำๆ ถึงมีไข้สูง ผ่านไป 3-4 วัน อาการจะเริ่มดีขึ้น
  • อาจมีไอ จาม เล็กน้อย ผ่านไป 3-4 วัน อาการจะเริ่มดีขึ้น
  • ไม่มีอาการท้องเสีย
  • น้ำมูกไหล มีอาการคัดจมูก ทำให้หายใจไม่สะดวก
  • ปวดตามตัว รู้สึกอ่อนเพลีย

อาการของโรคไวรัส COVID-19

  • มีไข้สูงมากกว่า 37.5 องศา
  • ไอ มีเสมหะ เจ็บคอ นานติดต่อกันมากกว่า 4 วัน
  • บางรายอาจมีอาการคลื่นไส้ อาเจียน ท้องเสียร่วมด้วย
  • หายใจลำบากมีไอร่วมด้วย ในบางรายรุนแรงถึงขั้นปอดอักเสบ หรือปอดบวม
  • ปวดเมื่อยตามตัว ทานอาหารไม่ค่อยได้

ความรุนแรงของโรค

ไข้หวัดธรรมดา มักไม่มีโรคแทรกซ้อนรุนแรง และไม่มีอาการที่รบกวนชีวิตประจำวันมีอาการอยู่ไม่นาน หากดูแลร่างกาย พักผ่อนให้เพียงพอ อาการไข้หวัดจะค่อย ๆ หายไปเองใน 3-4 วัน

ไวรัส COVID-19 พบอาการปอดอักเสบอันนำไปสู่การเสียชีวิต ซึ่งความรุนแรงของโรคนี้จะแตกต่างกันตามความแข็งแรงของแต่ละคน

อย่างไก็ตามหากใครมีอาการ มีไข้สูงมากกว่า 37.5 องศา, ไอ เจ็บคอ, น้ำมูกไหล, หายใจเหนื่อยหอบ หายใจลำบาก ควรรีบพบแพทย์เพื่อตรวจและวินิจฉัยโรคนะคะ เพราะนอกจากจะทำการรักษาให้เหมาะสมแล้ว กรณีที่มีการติดเชื้อ COVID-19 ผู้ป่วยจะได้ระวัง แยกตัวเอง และระมัดระวังไม่นำเชื้อไปติดกับคนอื่นต่ออีกด้วยค่ะ

———-

ขอบคุณข้อมูล : โรงพยาบาลศิครินทร์