ซัมเมอร์นี้ มาอวดแผ่นหลังเนียนสวยไร้สิวกันดีกว่า

สาวๆ หลายๆ คน คงจะเคยกลุ้มอกกลุ้มใจจากร่องรอยของสิวที่แผ่นหลังกันมาบ้าง ก็เจ้าสิวตัวร้ายมักจะชอบทิ้งร่อยรอยไว้ให้ปวดใจ แถมแฟชั่นสมัยนี้ก็ช่างขยันออกแบบมาให้ต้องโชว์ผิวสวยๆ โดยเฉพาะผิวเนียนๆ ด้านหลังเนี่ย ยิ่งพอเข้าช่วงหน้าร้อน ถึงเวลาอวดชุดบิกินี่ที่สะสมไว้ก็ไม่มั่นใจเพราะเจ้าจุดเล็กจากสิวเนี่ยล่ะ
วันนี้ ก่อนจะไปถึงวิธีการรักษา แก้ไข เราลองมาดูสาเหตุกันก่อนดีกว่าค่ะ ว่าสิวเหล่านี้มาเกิดที่หลังเราได้อย่างไร

ตัวการก่อสิวให้หลังลาย

“เสื้อผ้า” ลองสังเกตดูสิคะ เวลาเราใส่เสื้อผ้าตัวหนึ่งแล้วรู้สึกสบาย แต่อีกตัวกลับใส่แล้วไม่สบาย นั่นเป็นเพราะเนื้อผ้าของเสื้อผ้าแต่ละตัวที่แตกต่างกันค่ะ บางตัวสามารถระบายความร้อนได้ดี ซึ่งก็จะช่วยให้ผิวของเราไม่อับชื้น ไม่เกิดการหมักหมมของคราบเหงื่อไคล ไม่เกิดการอุดตันในรูขุมขน อันเป็นสาเหตุให้เกิดสิวที่บริเวณหลังของเรา ก่อนจะใส่เสื้อตัวไหน เลือกสักนิดนะคะว่าควรจะเป็นเสื้อผ่าที่ระบายความร้อนได้ดี

“เครื่องนอน” จะหมอน ผ้าห่ม หมอนข้าง ตุ๊กตาบนเตียง รวมทั้งหมดเลยหละค่ะ เพราะกับเครื่องนอนเหล่านี้เราต้องขลุกอยู่กับมันหลายชั่วโมงเลยทีเดียว วันๆ นึงเรานอนกินเวลาเฉลี่ยแล้ว 8 ชั่วโมง ถ้าเราไม่ทำความสะอาดบ่อยๆ เชื้อแบคทีเรียก็จะสะสม เกิดความสกปรกกับผิวของเรา อีกสาเหตุหนึ่งของสิวค่ะ

“แชมพู สบู่” แชมพูที่เราสระผมมักจะไหลลงมาสู่แผ่นหลังของเราโดยตรงค่ะ นั่นหมายถึงคราบสกปรกทั้งหลายก็ไหลลงมาด้วย การอาบน้ำสระผมที่ดีจึงควรสระผมเสียก่อน แล้วจึงค่อยถูสบู่ เพื่อล้างความสกปรกออกไปอีกครั้ง ไม่ทิ้งให้ผิวสะสมความสกปรกเอาไว้ เกิดเป็นปัญหาสิวตามมา สำหรับสบู่นั้น คนสวนใหญ่มักใช้สบู่เหลว แต่รู้ไหมคะว่าสบู่เหลวมักผสมสารเคมีที่ทำให้ล้างออกจากผิวได้ยากกว่าสบู่ก้อน ใครเป็นสิวที่หลังขอแนะนำให้ใช้สบู่ก้อนจะเหมาะกว่าค่ะ เพราะไม่ทิ้งสารเคมีตกค้างไว้ให้อุดตันผิวสวยๆ

“อาหารมันๆ” อาหารมันๆ ทอดๆ ทั้งหลายนี่ล่ะค่ะ ตัวการของผิวมัน เลือกรับประทานอาหารที่มีไขมันน้อยซักหน่อยนะคะ เพราะผิวมันจะทำให้ง่ายต่อการเกิดปัญหาสิ่งสกปรกเข้าไปอุดตันในผิว อีกสาเหตุสำคัญของสิวเลยล่ะค่ะ

พอจะรู้สาเหตุกันแล้วนะคะ ว่าสิวตัวร้ายมาปรากฏกายอยู่ที่หลังเราได้อย่างไร ทีนี้ก็ถึงเวลาแก้ปัญหา และป้องกันให้ถูกจุด บรรดาสิวทั้งหลายจะได้ไม่มาวุ่นวายกับเราอีก

“เสื้อผ้า” เลือกเสื้อผ้าที่มีเนื้อเบา โปร่งสบาย ระบายอากาศ เหมาะกับบ้านเมืองของเราที่มีอากาศร้อนชื้นค่ะ
“ผงซักฟอก” เลือกชนิดอ่อนๆ และล้างออกง่าย เพื่อที่จะได้ไม่ตกค้างที่เสื้อผ้าที่เราใส่
“สบู่” เลือกใช่สบู่ก้อนแบบป้องกันแบคทีเรีย ซึ่งจะช่วยยับยั้งตัวการที่ทำให้เกิดสิว
“ครีมนวดผม” ต้องเลือกแบบที่ไม่มีไขมัน หรือมีน้ำมันผสม เพราะถ้าล้างไม่หมดจะทำให้เกิดสิวตามมาแน่นอนค่ะ
“เช็ดผม” หลังอาบน้ำ สระผมเสร็จแล้ว สิ่งสำคัญคือการเป่าผม หรืเช็ดผมให้แห้งและอย่าให้ผมเปียกๆ ไปสัมผัสหลัง ความอับชื้นจะทำให้ผิวแพ้ง่ายค่ะ
“โทนเนอร์” ตัวช่วยที่ทำให้สิวหายเร็วขึ้น เพราะจะช่วยขจัดน้ำมันส่วนเกิน และทำให้ผิวสะอาดขึ้น อาบน้ำเสร็จลองใช้โทนเนอร์เช็ดแผ่นหลังบริเวณที่เป็นสิว แนะนำให้ใช้ตัวเดียวกับที่เราใช้กับผิวหน้านี่ล่ะค่ะ จะได้ไม่เกิดอาการระคายเคืองหรือแพ้ และอาจจะใช้ยาแต้มสิวตัวเดียวกับผิวหน้าของเราเพื่อช่วยลดอาการสิวอักเสบด้วยก็ได้ค่ะ

ผิวสวยๆ จำเป็นต้องได้รับการดูแลอย่างเหมาะสม ซัมเมอร์นี้ขอให้สาวๆ สนุกกับการอวดผิวและแผ่นหลังสวยๆ ต้อนรับลมร้อนกันให้เต็มที่เลยนะคะ

หน้าหนาวกับแสงแดดแรงๆ .. มาเลือกครีมกันแดดกันซักหน่อย


หน้าหนาวมาแล้วค่ะ ลมเย็นๆ เริ่มผ่านมาทักทายกันยาวๆ แล้ว น่าจะถูกใจหลายๆ คนที่รอคอยกันมาทั้งปีเลยทีเดียว แต่หน้าหนาว สิ่งที่ตามมานอกจากผิวแห้งๆ แล้ว คงหนีไม่พ้นแดดแรงๆ ที่พร้อมจะทำร้ายผิวสวยๆ กันได้ตลอดเวลาเลยล่ะค่ะ
แดดแรงๆ ในช่วงหน้าหนาว สาวๆ อย่าลืมหาตัวช่วยไว้บ้างนะคะ ไม่ว่าจะเป็นแว่นกันแดด หมวก ร่ม พกกันให้ครบทีเดียว แต่ที่ห้ามลืมเด็ดขาดเลยคือการทาครีมกันแดดเป็นประจำค่ะ

สาวๆ คงมีครีมกันแดดที่ใช้ประจำกันอยู่แล้ว แต่ครีมกันแดดก็มีคอลเลคชั่นใหม่ๆออกมาเรื่อยๆ แล้วทีนี้จะเลือกกันยังไงดี…
วันนี้เรามีคำแนะนำดีๆ มาฝากกันค่ะ

ก่อนอื่น ลองเชคสภาพผิวตัวเองก่อนสักนิดว่ามีลักษณะผิวแบบไหน และมีแอคทิวิตี้อย่างไรกันบ้าง

สำหรับสาวๆ ที่ผิวแข็งแรง ชอบกิจกรรมกลางแจ้ง ครีมกันแดดที่เหมาะควรเป็นชนิดครีมค่ะ เพราะเนื้อครีมจะเกาะผิวได้ดี ติดแน่น เวลามีกิจกรรมที่เหงื่อออกมากๆ ครีมก็ยังช่วยปกป้องดูแลผิวเราได้ดีอยู่

สำหรับสาวๆ ผิวบอบบาง เป็นสิวง่าย โดยเฉพาะสิวอุดตันควรเลือกครีมกันแดดชนิดเจล ชนิดน้ำ ที่บางเบากว่าเนื้อครีม แต่สำหรับชนิดนี้สาวๆ ต้องทาซ้ำบ่อยสักนิดเพราะจะได้ปกป้องผิวจากแดดได้ตลอดวันค่ะ

สำหรับหน้าหนาวอากาศแห้ง ที่มากับแสงแดดแรงๆ อาจจะเลือกใช้ครีมแบบเนื้อออยล์ ที่มีน้ำมันผสมเยอะหน่อย เผื่อเพิ่มตวามชุ่มชื้นให้ผิว แต่หลายๆ คนอาจจะไม่ค่อยชอบ เพราะอาจจะทำให้รู้สึกเหอะหนะไม่สบายผิว แถมจะนำสิวมาด้วยนี่สิคะ

เลือกเนื้อครัมที่เหมาะกับผิวได้แล้วก็อย่าเพิ่งประมาทนะคะ เพราะสาวๆ อาจจะนึกว่า เลือกครีมที่มี SPF 50 แล้วจะปกป้องผิวอยู่ได้ทั้งวัน แต่จริงๆ แล้ว ค่า SPF 50 นั้นจะปกป้องผิวได้ประมาณ 500 นาที หรือ 8 ชั่วโมงเท่านั้นค่ะ

อีกเรื่องที่สาวๆ ต้องให้ความสำคัญก็คือ วิธีการทาครีมกันแดดค่ะ ปริมาณที่เหมาะสมคือเหรียญ 50 สตางค์ แต้ม 5 จุด คือ หน้าผาก แก้มซ้ายแก้มขวา จมูก คาง แล้วเกลี่ยให้เสมอกัน อย่าทาบางๆ นะคะ เพราะครีมจะไม่ช่วยปกป้องผิวได้จริง ทาก่อนออกจากบ้านสัก 20 นาทีด้วยค่ะ

การป้องกันผิวสู้แดดร้อนอย่างบ้านเราทำไม่อยากเลยนะคะ แต่ถ้าละเลยแล้วผิวเหี่ยวย่น หน้าเลยอายุไปนี่กลับมาแก้ยากกว่าการป้องกันเยอะเลย ดูแลผิวสวยๆ ของเราให้สดใสแข็งแรงย่อมดีที่สุดค่ะ

ท้าทายลมหนาว กับเคล็ดลับดูแลผิวแพ้ง่าย

winter
หลังจากฝนเริ่มทิ้งช่วง และลมหนาวน้อยๆ เริ่มผ่านมาทักทายกันบ้าง สาวๆ หลายๆ คนอาจจะสูดอากาศสดชื่นกันเพลิน จนลืมกันไปว่าลมเย็นสบายๆ นั้น จะมาพร้อมกับอากาศแห้งๆ ที่พลอยจะทำให้ผิวสวยๆ ขาดความชุ่มชื้นกันไปด้วย ซ้ำร้าย สำหรับบางคนที่เกิดอาการแพ้ง่ายอยู่แล้ว ก็อาจจะมีอาการผื่นแพ้ได้ง่ายขึ้นอีก ก็เพราะเจ้าลมหนาว สบายๆ กลับกลายเป็นตัวการสำคัญที่ทำให้ผิวแห้ง และเกิดอาการแพ้ได้ง่ายกว่าที่เคย

วันนี้ มาทำความรู้จักกับอาการแพ้กันซักหน่อยว่ามีกี่ประเภท แล้วกับลมหนาวที่พัดมา ตัวการที่ทำให้ผิวแห้ง และอาจจะเกิดอาการแพ้ ระคายเคืองผิวหนังได้ง่ายขึ้นนั้น เราจะจัดการกันอย่างไรดีค่ะ

อาการแพ้หรือระคายเคือง ที่อาจกลายเป็นผื่นผิวหนัง เป็นอาการหนึ่งของโรคผิวหนังอักเสบ ซึ่งเป็นคำเรียกรวมโรคที่มีอาการอักเสบในชั้นผิวหนัง ที่อาจอาการแสดงได้หลากหลายรูปแบบ โดยเราสามารถแบ่ง โรคผิวหนังอักเสบ ออกเป็น 2 กลุ่มใหญ่ๆ ตามสาเหตุของการเกิดโรค ซึ่งก็คือ

กลุ่มที่ 1. โรคผิวหนังอักเสบ ที่มีสาเหตุมาจากภายนอกร่างกาย ได้แก่การเกิดผื่นจากการการสัมผัสสารเคมี สารที่ก่อให้เกิดอาการแพ้ พืช สัตว์ หรือแมลงบางชนิด โดย การเกิดผื่นผิวหนังอักเสบจากการสัมผัสอาจแบ่งได้เป็น 2 ประเภท คือ ประเภทแรก สารที่สัมผัสก่อความระคายเคืองต่อผิวหนังจากคุณสมบัติของสารนั้นเอง เช่น สารที่มีฤทธิ์เป็นกรดหรือด่าง สารที่ใช้ในการชำระล้าง ความระคายเคืองจากสารเหล่านี้สามารถก่อให้เกิดผื่นได้ไม่เลือกบุคคล โดยจะเกิดเป็นผื่นเมื่อผิวหนังไม่สามารถทนต่อความระคายเคืองจากสารเหล่านั้นได้ ลักษณะของผิวหนังอักเสบชนิดนี้ มักเกิดบริเวณที่สัมผัสสารบ่อยๆ เช่น มือหรือเท้า เป็นต้น และ กลุ่มที่ 2. คือ สารที่สัมผัสก่อให้เกิดปฏิกิริยาการแพ้ก่อให้เกิดการอักเสบในผิวหนัง ซึ่งในกรณีนี้สารแต่ละชนิดจะก่อให้เกิดผื่นเฉพาะในบางคนเท่านั้น ตัวอย่างเช่น ผู้ที่มีอาการแพ้ ผิวหนังอักเสบหากสวมเครื่องประดับที่มีโลหะผสมบางชนิด หรือสวมเสื้อผ้า ที่มีเนื้อผ้าบางประเภท ในขณะที่คนส่วนใหญ่ไม่มีอาการ

และ กลุ่มที่ 2. โรคผิวหนังอักเสบซึ่งเกิดจากสาเหตุภายในร่างกาย ตัวอย่างเช่น โรคผื่นภูมิแพ้ผิวหนัง โรคผื่นอักเสบบริเวณผิวมัน เป็นต้น ซึ่งสาเหตุหลัก ของกลุ่มโรคผิวหนังอักเสบกลุ่มนี้ มีปัจจัยที่มาหลากหลาย ทั้งจากทางพันธุกรรม การเปลี่ยนแปลงของสภาวะทางร่างกาย และจิตใจ อาการเจ็บป่วย ความเครียด ทั้งหมดอาจมีผลให้เกิดอาการผื่นผิวหนังอักเสบได้ทั้งสิ้น ผู้ป่วยในกลุ่มนี้จึงอาจมีผื่นในลักษณะเป็นๆ หายๆ หรือเรื้อรังได้ไม่แน่นอน อย่างไรก็ตามปัจจัยภายนอก โดยเฉพาะสารที่อาจก่อความระคายเคืองต่อผิวหนังเช่น สบู่ ผงซักฟอก ก็สามารถกระตุ้นการเกิดอาการที่รุนแรงขึ้นได้

สำหรับอาการแพ้แบบน้อยๆ ที่อาจเรียกว่าผื่นแพ้ง่าย ที่เกิดจากสภาพผิวที่แห้ง ขาดไขมันมาช่วยเติมความชุ่มชื้น ในช่วงที่อากาศหนาวนั้น เรามีวิธีดูแลผิวง่ายๆ อย่างที่เคยนำมาฝากกันแล้วตามนี้ค่ะ

1 ดื่มน้ำในปริมาณที่มากพอ : ควรดื่มน้ำอย่างน้อยวันละ 8 แก้วเป็นประจำ
2 ปกป้องตัวเองจากสภาวะแวดล้อม : ไม่เปิดแอร์เย็นเกินไป และไม่อาบน้ำร้อนที่ร้อนจนเกินไป และในหน้าหนาวควรทาโลชั่นอย่างสม่ำเสมอเป็นประจำ
3 เลือกใช้สบู่ที่เหมาะกับสภาพผิว : ควรเลือกสบู่ที่ไม่มีส่วนผสมของน้ำหอม หรือเลือกสบู่เด็ก ที่ไม่รุนแรงต่อสภาพผิว
4 การเอาน้ำใส่แก้วแล้ววางไว้ใกล้ๆ ตัว : ทั้งในห้องนอน ห้องนั่งเล่น หรือที่ทำงาน โดยเฉพาะห้องที่มีความแห้งในอากาศอย่างห้องแอร์ เพื่อช่วยเพิ่มความชื้นในอากาศ ทำให้ผิวสูญเสียความชุ่มชื้นน้อยลง และสุดท้าย
5 เลือกรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ : เนื้อปลา น้ำมันมะกอก มะเขือเทศ บล็อคโคลี เมล็ดข้าวที่ยังไม่ขัดสี ธัญพืช รวมถึงทานผัก และผลไม้สด ให้เพียงพอด้วยค่ะ

กับลมหนาวที่มาทักทายกันในวันนี้ อย่าละเลยที่จะเติมความชุ่มชื้นให้ผิว และระวังอย่าให้ผิวแห้งกร้าน เพราะไม่ใช่แค่ในเรื่องของความงาม แต่ยังเป็นการช่วยลดความเสี่ยงต่อการเกิดอาการผื่นแพ้ ที่เกิดจากผิวแห้งๆ อีกด้วยนะคะ

ริ้วรอย บอกโรค

สาวๆ ส่วนใหญ่ คงจะยอมไม่ได้ที่จะปล่อยให้เส้นสาย ริ้วรอยของวัย ย่างกรายเข้ามาสู่ใบหน้าสวยๆ … ก็แหม ใครจะอยากมีริ้วรอยมาคอยเตือนถึงอายุที่เพิ่มขึ้นในทุกวันๆ ล่ะ
และแม้ว่าการดูแลริ้วรอยเป็นเรื่องสำคัญอันดับต้นๆ ของสาวๆ แต่การดูแลก็ควรที่จะให้ความสำคัญ และดูแลจากภายใน เพราะไม่ว่าจะสครัปแค่ไหน พอกครีมเท่าไหร่ แต่ถ้าสุขภาพจากภายในของเรานั้นไม่สมบูรณ์ ริ้วรอยร้ายๆ ก็ย่อมปรากฎตัวออกมาแสดงตัวอย่างแน่นอนค่ะ
ศาสตร์โบราณจากจีน ได้สอนไว้ว่า ทุกริ้ว ทุกรอยบนใบหน้าล้วนมีที่มา ทั้งยังมีความสัมพันธ์กับการทำงานของอวัยวะ และระบบต่างๆ ของร่างกายเราอีกด้วย ส่วนจะมาจากอะไรบ้างนั้น มาดูไปพร้อมๆ กันเลยค่ะ

ริ้วรอยระหว่างคิ้ว และดวงตา
ริ้วรอยระหว่างคิ้วและดวงตาสามารถสะท้อนถึง “ตับ” คนที่ทานชอบเมาชนิดเกาะขวดเหล้าไม่ยอมปล่อย ดื่มแอลกอฮอลล์เยอะ หรือรับประทานอาหารที่มีสารพิษตกค้างมาก จะเกิดเส้น 2 เส้นระหว่างคิ้ว นั่นแสดงว่าตับเริ่มมีปัญหาแล้ว ยิ่งนักเที่ยวคอเหล้าแฮงเอาท์ทุกวันมักจะมีเส้นลึกเส้นเดียวตรงกลางหว่างคิ้ว แสดงถึงสัญญาณอันตราย ว่าอาการของตับแข็งใกล้จะถามหา

ริ้วรอยบริเวณหน้าผาก
ริ้วรอยบริเวณหน้าผากสามารถสื่อได้ถึง “ไต” ลองทำหน้าเฉยๆ นะคะ รอยจะเป็นเส้นขวางบริเวณหน้าฝาก ถ้ามีรอยย่นครบ 3 เส้นนี่แย่แน่ๆ เพราะแสดงว่าไตเริ่มอ่อนแอ ถ้าจะถามหาสาเหตุว่าทำไมไตถึงอ่อนแอ ก็ต้องลองถามตัวเองดูแล้วหละค่ะว่าทานของหวานมากไป หรือชอบทานอาหารรสจัดเกินไปไหม พฤติกรรมเหล่านี้ล่ะค่ะ ที่จะทำให้ไตอ่อนแอ

ริ้วรอยบริเวณริมฝีปากถึงใต้จมูก
บริเวณริมฝีปากถึงใต้จมูกเป็นบริเวณของมดลูก ถ้าเหนือริมฝีปากมีสีคล้ำ แสดงว่ามดลูกเริ่มจะอ่อนแอ และถ้ามีไฝหรือกระในบริเวณนี้แสดงว่าอาจเคยมีอาการของโรคกระเพาะปัสสาวะอักเสบ ไตอักเสบ เนื้อเยื่อหุ้มมดลูกอักเสบก็เป็นได้
ในขณะเดียวกัน หากมีเส้น 2 เส้นเหนือริมฝีปากชัดเจนแสดงว่ามดลูกแข็งแรง แต่ถ้าคนไหนมีฮอร์โมนผิดปกติเส้นจะค่อยๆ จางลง ลองสังเกตดู ผู้เฒ่า ผู้แก่ที่บ้านนะคะ ว่าเส้นสองเส้นนี้จะจางลงไปมาก เพราะเมื่ออายุมากขึ้นการทำงานของฮอร์โมนต่างๆ ก็มักจะลดลงค่ะ

ริ้วรอยบริเวณคอ
ดูง่ายมากๆ ถ้ามีเส้นขวางที่คอ 3 เส้น แสดงว่าฮอร์โมนในร่างกายไม่สมดุล สำหรับผู้สูงวัยอาจเป็นเรื่องธรรมดาที่ฮอร์โมนจะลดไปตามวัยที่สูงขึ้น แต่สำหรับคุณผู้หญิงอายุช่วง 20 – 30 ปีนั้น อาจแสดงว่าระดับฮอร์โมนผิดปกติ อาจทำให้ตั้งครรภ์ยาก ต้องปรับสมดุลฮอร์โมนให้ดีค่ะ

เป็นอย่างไรกันบ้างคะ ริ้วรอยบ่งบอกอะไรได้มากมาย เหมือนกระจกที่สะท้อนการดูแลสุขภาพจากภายในเลยทีเดียว ส่วนไหนไม่ปกติ ส่วนไหนบกพร่อง ก็สะท้อนออกมาให้เห็นได้ง่ายๆ
วันนี้ ลองเริ่มสังเกตจากตัวเองและคนรอบๆ ข้างดูซักนิด อาจลองพิจารณาร่วมกับปัจจัยอื่นๆ อย่างเช่นพฤติกรรมการใช้ชีวิต หรืออาการป่วยที่เริ่มส่งสัญญาณให้เรารับรู้ แล้วมาปรับเปลี่ยนการใช้ชีวิตเพื่อสุขภาพที่ดีกันดีกว่าค่ะ แม้ว่าหลายๆ ครั้ง ความไม่สมบูรณ์ที่เกิดจากภายใน อาจจะยังไม่แสดงออกมาเป็นอาการป่วยไข้ หากแต่เราได้เริ่มใส่ใจ ดูแลตามความเหมาะสมแล้ว เชื่อว่าทุกคน ย่อมจะห่างไกลจากโรค และมีสุขภาพที่ดีได้ ในทุกๆ วันค่ะ

เคล็ดไม่ลับ ป้องกันผมร่วง

hair.jpg
ใครๆ ก็ฝันอยากมีผมสลวยสวยเก๋ จะตัดแต่งอย่างไรก็ได้ ทันสมัยได้เสมอ แต่ฝันนั้นอาจดูห่างไกล เมื่อมีปัญหาผมร่วงมากวนใจ เพราะจะทำทรงไหนก็ดูไม่มั่นใจ ถ้าใครเคยเจอกับปัญหาผมร่วงคงจะทราบดีว่าปัญหานี้เป็นเรื่องใหญ่ ยิ่มผมร่วงมากเท่าไร ความกังวลก็ยิ่งมากขึ้น ภาวะความเครียดก็ตามมา

การดูแลผมให้สวย สุขภาพดี โดยทั่วไปสามารถทำได้ไม่ยากค่ะ เพียงหลีกเลี่ยงจากอาการเครียด และพักผ่อนให้เพียงพอ หลีกเลี่ยงการใช้ยาที่มีผลข้างเคียง งดเครื่องดื่มมีแอลกอฮอล์ และบุหรี่ หลีกเลี่ยงการใช้สารเคมี และความร้อนกับเส้นผม และดูแลเรื่องของโภชนาการให้ดี แค่นี้ ก็ช่วยได้มากแล้ว

แต่สำหรับหลายๆ คน ที่มีอาการผมร่วงมากกว่าปกติ อาจจะมีสาเหตุที่แตกต่างออกไป และต้องการการดูแลที่มากกว่าการดูแลทั่วๆ ไป เราลองมาดูกันดีกว่าค่ะว่าสาเหตุที่มาของอาการผมร่วงนั้นมาจากปัจจัยใดบ้าง จะได้แก้ไขปัญหาเหล่านี้ได้ถูกค่ะ

ความเครียด ถ้าเป็นมากร่วมกับพักผ่อนน้อย พักผ่อนไม่เพียงพอ หรือนอนไม่หลับเป็นระยะเวลานาน จะส่งผลทำให้กระทบต่อหลายระบบในร่างกาย รวมถึงระบบภูมิต้านทาน ฮอร์โมนต่างๆ เกิดการเสียสมดุลในร่างกาย ทำให้การหลุดร่วง และการงอกใหม่ของเส้นผมเสียสมดุลไปด้วย
ความเครียดนี้รวมถึง การไม่สบายเรื้อรัง มีไข้สูง ภาวะหลังคลอดลูก หรือหลังผ่าตัดที่ต้องเสียเลือดมาก เหล่านี้ล้วนเป็นสาเหตุทำให้ผมร่วงได้ทั้งหมดค่ะ

อายุ เมื่ออายุเพิ่มมากขึ้น บางคนอาจมีการเสื่อมของเซลล์มากขึ้น ทำให้ผมบนหนังศีรษะบางลง เส้นผมมีขนาดและความยาวลดลง การไหลเวียนของเลือดไปยังศีรษะและรากผมน้อยลง จึงทำให้การเจริญเติบโตของเส้นผมเกิดช้าลงไปด้วย

โรคประจำตัว เช่นโรคเบาหวาน จะมีผลกับหลายๆ ระบบในร่างกาย รวมถึงเรื่องเส้นเลือดที่จะนำอาหารไปเลี้ยงเส้นผม ผู้ที่มีการทำงานของต่อมไทรอยด์ผิดปกติ ผู้ที่มีภาวะโรคทางภูมิคุ้มกัน เกิดจากภูมิคุ้มกันตัวเองไปทำลายรากผม ก็ทำให้เกิดผมร่วงได้ ผู้ที่มีภาวะซีด หรือเสียเลือดเรื้อรัง ก็จะทำให้ผมร่วงได้มาก และการงอกใหม่เกิดขึ้นได้ไม่ดี เป็นต้น

ยาบางชนิด เช่น ยารับประทานรักษาสิวกลุ่มวิตามินเอ จะพบกลุ่มวัยรุ่นที่ทานยามีผลข้างเคียงเรื่องผมร่วงได้ ยาลดความดัน ยากันชัก เป็นต้น

การขาดสารอาหาร ส่วนประกอบหลักของผมคือโปรตีน หากมีการควบคุมอาหารหรือลดน้ำหนัก เลือกทาน หรือทานอาหารไม่ครบ 5 หมู่ อาจขาดสารอาหารและแร่ธาตุที่มีความจำเป็นต่อการสร้างเส้นผมได้

การทำ Hair Cosmetics ต่างๆ เช่น ย้อมผม ดัดผม ยืดผม การทำร้ายเส้นผมบ่อยๆ ก็เป็นสาเหตุทำให้ผมหลุดร่วงง่าย

กรรมพันธุ์ ปัญหานี้ความจริงเป็นสิ่งที่เราควบคุมไม่ได้หากได้รับการถ่ายทอดทางพันธุกรรมจากพ่อและแม่ แต่ไม่ได้หมายความว่าทุกคนต้องได้รับลักษณะทางพันธุกรรมนั้นๆ เพราะส่วนใหญ่แล้วต้องมีปัจจัยและสาเหตุอื่นเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย

การสูบบุหรี่และดื่มเหล้าเป็นระยะเวลานาน มีผลทำให้ผมร่วงและสุขภาพผมไม่ดีได้เช่นกัน

วันนี้ พอจะทราบสาเหตุที่มาของอาการผมร่วงกันแล้วนะคะ ถ้าปัจจัยไหนเลี่ยงได้ ก็พยายามหาทางเลี่ยง ก่อนที่จะเกิดปัญหาผมร่วงแล้วค่อยมาหาทางแก้ทีหลัง

ผมสวยๆ ก็เปรียบเสมือนต้นไม้ ต้องคอยดูแลรดน้ำ ใส่ปุ๋ย พรวนดิน ให้แสงแดด ต้นไม้จึงจะเจริญเติบโตดี นอกจากหลีกหนีสาเหตุผมร่วงให้ไกลแล้ว เรามีเทคนิคง่ายๆ สำหรับการดูแลผมที่เราสามารถทำได้ในทุกๆ วันกันค่ะ เป็นการดูแลจากปัจจัยภายใน และปัจจัยภายนอก ค่ะ

1) ปัจจัยภายใน ต้องรับประทานอาหารให้ครบ 5 หมู่ ถ้าดูอาหารที่ทานเป็นประจำแล้วไม่ครบถ้วน อาจทานวิตามินเสริมที่ช่วยในการบำรุงหนังศีรษะและเส้นผมได้ นอกจากนั้นแล้ว การนอนหลับพักผ่อนที่เพียงพอ ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ ลดความเครียด ทำจิตใจให้สบาย หลีกเลี่ยงการสูบบุหรี่และดื่มเหล้า เส้นผมก็จะเจริญเติบโตได้เป็นปกติ

2) ปัจจัยภายนอก สิ่งที่จะต้องมาสัมผัสทั้งหนังศีรษะและเส้นผมของเราเกือบทุกวัน ก็คือแชมพูสระผม ควรเลือกแชมพูที่เหมาะกับสภาพหนังศีรษะของเรา ความถี่ในการสระผมก็ขึ้นอยู่กับกิจกรรมของแต่ละวัน หลีกเลี่ยงการทำร้ายหนังศีรษะบ่อยครั้งด้วยสารเคมีและความร้อนจัด รวมถึงแสงแดด สุขภาพผมก็จะดีและไม่หลุดร่วงง่าย

ปัจจัยง่ายๆ เหล่านี้ล่ะค่ะ ที่จะทำให้ผมสวยอยู่กับเราไปนานๆ ค่ะ

เตรียมตัวรับลมหนาว

winter.jpg

สายลมเย็นอ่อนๆ ที่พัดมาทักทายบ้างในบางวันระยะนี้ เป็นสัญญาณส่งข่าวมา ว่าฤดูหนาวที่หลายๆ คนรอคอย กำลังจะย่างกรายเข้ามาแล้ว
ฤดูหนาว ช่วงเวลาที่หลายๆ คนโปรดปราน กับอากาศสดชื่น กำลังสบาย ในแบบที่ไม่หนาวจนเกินไป … แต่ก็ในหน้าหนาวนี่ล่ะค่ะ ที่บางครั้งเราอาจจะลืมไป ว่าเป็นช่วงที่มีแสงแดดแรงๆ รุนแรงพอที่จะทำร้ายผิวสวยๆ ของเราได้ แถมไม่ใช่แค่แดดแรงๆ เพียงอย่างเดียว ยังมีอากาศแห้งๆ ที่อาจจะนำมาซึ่งผิวที่แห้งกร้านกันได้ง่ายๆ ถ้าไม่ดูแลกันให้ดีอีกด้วย

วันนี้ มาไล่กันทีละข้อเลยค่ะ ว่าหนาวนี้ มีอะไรที่ควรจะให้ความสำคัญ หรือมีส่วนไหนที่ควรจะดูแล เพื่อให้ผิวของเรา ไม่แห้งกร้าน หรือโดนทำร้ายโดยไม่ทันได้ระวัง

หน้าหนาวกับแสงแดดแรงๆ สิ่งแรกที่ขาดไม่ได้เลย คือครีมกันแดดค่ะ เลือกใช้ครีมกันแดดที่มีค่า SPF ไม่น้อยกว่า 30 ที่ปกป้องได้ทั้งรังสี UVA และ UVB และใช้อย่างสม่ำเสมอค่ะ แสงแดดในเมืองร้อนอย่างบ้านเรา แม้ในที่ร่ม ก็ยังจะแอบเล็ดลอดเข้ามาทำร้ายผิวกันได้ตลอดเวลา

ข้อที่สอง อย่าอาบน้ำที่ร้อนจนเกินไปโดยเฉพาะในตอนเช้า หลายๆ ครั้ง เรารู้สึกสบายที่ได้อาบน้ำร้อนๆ ในช่วงเช้าของวัน ยิ่งวันไหนอากาศเย็นๆ แล้ว แทบไม่อยากอาบเสร็จกันเลยทีเดียว ทว่าน้ำที่ร้อนจนเกินไปนี่ล่ะค่ะ ที่เป็นตัวการทำให้ผิวที่แห้งอยู่แล้วในหน้าหนาวจะยิ่งแห้งมากขึ้น น้ำที่อุ่นพอประมาณ หรือเย็นนิดหน่อย กลับจะเป็นสิ่งที่ดีสำหรับผิวของเราในหน้าหนาวในการที่จะช่วยรักษาความชุ่มชื้นตามธรรมชาติ ดังนั้น พยายามอย่าอาบน้ำที่ร้อนจนเกินไป และไม่ควรอาบนานจนเกินไป ที่สำคัญ ไม่ควรขัดผิวในช่วงหน้าหนาว เพราะนอกจากจะเป็นการทำให้ผิวแห้ง เป็นขุยได้ง่ายแล้ว ยังจะเป็นการทำให้ผิวแห้งกว่าเดิมอีกด้วยค่ะ

ข้อต่อมา การใช้โลชั่น หรือครีมบำรุงผิว เพื่อเติมความชุ่มชื้นให้กับผิวเป็นสิ่งจำเป็นในหน้าหนาว และการทาโลชั่น ควรทาในขณะที่ผิวเปียกหมาดๆ เพื่อการดูดซับที่ดียิ่งขึ้น หรืออย่างน้อยที่สุด อาจเลือกใช้เบบี้ออยล์บางๆ นวดเพื่อเพิ่มความชุ่มชื้นให้กับผิวในทุกวัน

ข้อสุดท้าย ควรทานอาหารที่มีมันบ้าง เพราะร่างกายเราต้องการไขมันเพื่อเติมความชุ่มชื้นให้กับผิว ที่สำคัญ ควรดื่มน้ำ ทานผักสด และผลไม้ให้มากขึ้น เพื่อชดเชยการสูญเสียน้ำของผิวให้กับอากาศที่แห้ง

และ นอกเหนือจากการดูแลผิวกายแล้ว ยังมีอีกหลายๆ ส่วนที่ควรจะดูแลเป็นพิเศษอีกด้วย ทั้งในบริเวณริมผีฝาก ที่ควรทาลิปบาล์มเป็นประจำ ป้องอาการปากแห้ง เป็นขุย รวมไปถึงการดูแลมือ และนิ้วมือ ที่ควรใช้แฮนด์ครีมอย่างสม่ำเสมอ เพื่อความเนียนนุ่ม ป้องกันการแห้งกร้าน และบริเวณส้นเท้า ที่ควรสวมใส่ถุงเท้าเท่าที่ทำได้ ป้องกันไม่ให้ส้นเท้าแตก จนถึงส่วนสุดท้าย คือการดูแลเส้นผม ที่ควรใช้ครีมนวดผมอย่างสม่ำเสมอ และเลือกใช้ครีมนวดผมที่ป้องกันการเกิดไฟฟ้าสถิต เพื่อไม่ให้ผมชี้ฟู จัดทรงได้ยากค่ะ

ไล่กันมาจนครบแล้วกับเรื่องของผิวพรรณที่ควรดูแลในช่วงหน้าหนาวที่กำลังจะมาถึง ตอนนี้ คงถึงเวลาเลือกหาเสื้อกันหนาวสีสดตัวเก่ง เตรียมไว้รับลมหนาวที่กำลังจะมาทักทายกันแล้วล่ะค่ะ

แตงกวา กับคุณค่าที่มากกว่าสารอาหาร

แตง.jpg
‘แตงกวา’ ผักธรรมดาๆ ที่เห็นกันเป็นประจำในแทบทุกมื้ออาหาร ผักชิ้นเล็กๆ ที่หลายคนมักจะเขี่ยไว้ข้างๆ โดยไม่เห็นถึงคุณค่า
วันนี้ เรามาดูกันซักหน่อยค่ะ ว่าเจ้าผักธรรมดาๆ ชนิดนี้ แอบซ่อนประโยชน์อะไรเอาไว้บ้าง และมากมายขนาดไหน
คุณค่าของแตงกวา อยู่ที่สองส่วนหลักๆ เลยค่ะ

ส่วนแรก มาจากสารอาหาร วิตามิน และแร่ธาตุ หลากหลายชนิดในแตงกวา ที่ช่วยให้ร่างกายแข็งแรง และช่วยเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย นอกจากนั้น แตงกวายังมีสารประกอบ ที่ช่วยลดคอเลสเตอรอล และมีฮอร์โมนที่เซลล์ตับอ่อนใช้ในการผลิตอินซูลิน ซึ่งเป็นประโยชน์ต่อผู้ป่วยที่เป็นโรคเบาหวานอีกด้วย ประโยชน์ของแตงกวายังรวมถึงการที่แตงกวามีไฟเบอร์ โพแทสเซียม และแมกนีเซียม ในปริมาณที่สูง จึงเป็นผักที่เป็นประโยชน์สำหรับผู้ป่วยที่มีปัญหาด้านความดันโลหิต ทั้งความดันสูง และความดันต่ำ เพราะแร่ธาตุดังกล่าวจะเป็นส่วนช่วยในการควบคุมความดันโลหิตให้เป็นปกติค่ะ

ส่วนที่สอง คือการที่แตงกวามีองค์ประกอบของน้ำในปริมาณที่มากถึง 90% ทำให้แตงกวาจัดอยู่ในอาหารที่ลดความร้อน และช่วยเพิ่มความสดชื่นได้เป็นอย่างดีโดยเฉพาะสำหรับผู้ที่มีอาการขาดน้ำ อีกทั้ง น้ำในแตงกวา ยังมีคุณสมบัติช่วยล้างสารพิษในร่างกายได้อีกด้วย

นอกเหนือจากที่ได้กล่าวมา ยังมีงานวิจัยหลายชิ้น ที่ยืนยันถึงประโยชน์ของแตงกวา ว่าการทานแตงกวาในปริมาณที่เพียงพอ จะช่วยลดความเสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งเต้านม มะเร็งรังไข่ และมะเร็งต่อมลูกหมากอีกด้วย

ทราบกันถึงประโยชน์ของแตงกวาต่อสุขภาพกันแล้ว เชื่อหรือไม่คะ ว่าสำหรับสาวๆ แล้ว แตงกวา ยังสามารถนำไปใช้ในด้านความงามกันได้อีกมากมายเลย ลองมาดูสูตรความงามง่ายๆ จากแตงกวากันซักหน่อยดีกว่าค่ะ

สูตรแรก สาวๆ คงจะคุ้นเคยกันอยู่แล้ว คือการใช้แตงกวา ล้างให้สะอาด ฝานเป็นแว่นบางๆ วางไว้ที่ดวงตาทั้งสองข้าง เอนไซม์ในแตงกวาจะทำหน้าที่ย่อยเซลล์ที่ตายแล้ว ทั้งยังช่วยเพิ่มความชุ่มชื่นให้กับผิวรอบดวงตา ลดริ้วรอย และลดอาการเกร็งของกล้ามเนื้อ

สูตรที่สอง ใช้แตงกวา 2-3 ลูก ล้างสะอาด ปั่นให้ละเอียด แล้วนำมาผสมกับไข่ขาวดิบที่ตีจนฟู 1 ฟอง และน้ำมะนาว 1 ช้อนชา ผสมรวมเป็นเนื้อเดียวกัน แล้วนำมาพอกหน้า ทิ้งไว้ประมาณ 10-15 นาที ก่อนล้างออกด้วยน้ำสะอาด จะช่วยลดความมันบนใบหน้า กำจัดสิวเสี้ยน และทำให้ผิวหน้าเกลี้ยงเกลาขึ้นค่ะ

สูตรที่สาม ใช้แตงกวา 2-3 ลูก ล้างสะอาด ผสมกับน้ำผึ้ง 1/4 ถ้วย ปั่นให้ละเอียด แล้วนำมาพอกหน้า ทิ้งไว้ประมาณ 10-15 นาที ก่อนล้างออกด้วยน้ำสะอาด สูตรนี้ สำหรับผู้ที่มีผิวแห้ง สามารถทำได้ทุกวันก่อนนอน นอกจากจะช่วยให้ผิวชุ่มชิ้น เปล่งปลั่งแล้ว ยังช่วยให้ผิวหน้านุ่ม และมีความยืดหยุ่นขึ้นอีกด้วยค่ะ

ได้ทราบถึงประโยชน์มากมายของแตงกวากันไปแล้ว ทั้งประโยชน์ที่มีต่อสุขภาพ กับทั้งอีกหลายวิธีที่จะนำไปใช้ในด้านความงาม ถึงเวลาหาซื้อแตงกวามาประจำการในตู้เย็นกันแล้วล่ะค่ะ ^^

เล็บสวยสุขภาพดี ดูแลได้

nail

วันนี้ มาว่ากันถึงเคล็ดลับการดูแลรักษาเล็บให้สะอาด สวยได้รูป พร้อมสำหรับการเติมแต่งด้วยสีสันและดีไซน์เก๋ๆ ให้แมทช์กับชุดทำงาน หรือแม้แต่ธีมงานปาร์ตี้ในยามค่ำคืนกันซักหน่อยค่ะ

เคล็ดลับการดูแลเล็บให้สะอาดแข็งแรง
การดูแลเล็บมือ และเล็บเท้า ความสะอาดสำคัญที่สุดค่ะ วิธีทำความสะอาดเล็บที่ดี คือการใช้แปรงขนนุ่มพร้อมสบู่อ่อนๆ ถูบนเล็บ จุดที่สำคัญที่สุดคือใต้เล็บค่ะ บริเวณนี้ซุกเชื้อโรคเอาไว้เยอะที่สุด แปรงเบาๆ แล้วล้างด้วยน้ำอุ่นๆ
ที่สำคัญ ควรเล็บมือทุกสัปดาห์ ส่วนเล็บเท้า 2 สัปดาห์ครั้ง เวลาตัดไม่ต้องตัดให้ชิดผิวหนังมากไปนะคะ อาจจะทำให้เป็นแผลได้ และอย่าตัดให้เล็บโค้งมากเกินไปด้วย เพราะจะทำให้เกิดอาการเล็บขบเจ็บจี๊ดได้ง่ายๆ ค่ะ
การบำรุงเล็บด้วยวิตามิน เล็บต้องการโปรตีน วิตามิน A , C , E รวมทั้งสังกะสี อย่าลืมเลือกอาหารที่ให้คุณค่าสำหรับเล็บกันด้วย และสุดท้าย การบำรุงเล็บด้วยโลชั่น ใช้โลชั่นที่สาวๆ ใช้ทามือนั่นล่ะค่ะ ให้ประโยชน์กับเล็บด้วยเช่นกัน นอกจากความชุ่มชื่นและการบำรุงเล็บแล้ว โลชั่นยังจะช่วยปกป้องเล็บจากสารเคมีต่างๆ เช่น สบู่ แชมพู ผงซักฟอก ได้อีกด้วย เวลาทาโลชั่นสาวๆ อาจเพิ่มการนวดเล็บสัก 3- 5 นาทีเพื่อกระตุ้นให้เลือดไหลเวียน เล็บก็จะสวยและแข็งแรงค่ะ

วิธีทาเล็บให้สวยทน สวยนาน
ทาเล็บทั้งที สาวๆ ก็คงอยากจะให้ลวดลายสวยๆ อยู่ติดเล็บไปนานๆ เรามาดูกันดีกว่าค่ะว่า จะยืดเวลาความสวยกันได้อย่างไรบ้าง เริ่มด้วยการหาอ่างน้ำใบเล็กๆเติมน้ำอุ่น บีบมะนาวลงไปซักหน่อย แล้วแช่มือสวยๆ ไว้สักครู่ แค่นี้เล็บก็จะนิ่ม มือก็จะนุ่มขึ้นแล้วล่ะค่ะ สำหรับขั้นตอนก่อนทาเล็บ ให้ทา Base Coat ก่อน เพราะ Base Coat จะช่วยเคลือบผิวเล็บไม่ให้สัมผัสกับสารเคมีจากยาทาเล็บมากเกินไป เล็บจะได้ไม่เหลือง และควรเลือกยาทาเล็บที่ไม่มี Acetone แอลกอฮอล์ที่จะมาทำร้ายเล็บสวยๆค่ะ

เพิ่มเคล็ดลับการทาเล็บให้อีกนิดสำหรับสาวๆ ที่ทาเล็บเอง ไม่ควรป้ายเกิน 3 ครั้ง เพราะสีจะแห้งยาก เป็นรอยง่ายเนื่องจากสีชั้นในไม่แห้งสนิท วิธีทาเล็บก็เริ่มจากตรงกลาง-ซ้าย-ขวา และเมื่อทาเล็บเสร็จแล้ว อย่าลืมปกป้องเล็บจากแสงแดดด้วยการทาน้ำยาเคลือบเล็บ หรือ Top Coat อีกชั้นด้วยนะคะ

สังเกตซักนิด เล็บบอกโรค
สาวๆ ดูแลเล็บจนสะอาด สวยงามด้วยการตกแต่งอย่างประณีตแล้ว อย่าลืมสังเกตเล็บกันซักนิด มีเรื่องราวของสุขภาพจากภายในซ่อนอยู่ในนั้นด้วย อย่างกรณีที่เล็บเป็นปุ่ม งุ้มมากผิดปกติ สีซีด ก็ควรระวังเกี่ยวกับเรื่องโรคหัวใจและโรคปอดเรื้อรัง ส่วนเล็บที่มีสีต่างกันมาก ส่วนที่ติดกับโพรงจมูกจะมีสีขาว ส่วนปลายเล็บมีสีปกติ ส่วนหนึ่งมาจากการที่ใต้ฐานเล็บบวม ควรระวังโรคไต และเล็บที่มีจุดสีดำ หรือแถบสีดำ ต้องระวังโรคมะเร็งผิวหนังชนิดเมลาโนมา (melanoma) ค่ะ

รู้วิธีดูแลเล็บกันแล้ว ลองเอาไปใช้กันนะคะ สาวๆ อย่างเรานิยมความสวยแบบสมบูรณ์แบบ จุดเล็กจุดน้อยแค่ไหน เราก็ไม่ละเลยค่ะ

ฮอร์โมน กับเรื่องสวยๆ ของสาวๆ

hormone
จะผิวสวยเด้งเต่งตึง ผิวหมองใบหน้าไม่ผ่องใส พุงออก อารมณ์หดหู่ สมองล้า สั่งงานช้า เรื่องเหล่านี้ล้วนเกี่ยวกับฮอร์โมนในร่างกายของเราทั้งนั้นเลยค่ะ วันนี้เราลองมาทำความรู้จักฮอร์โมนในร่างกายของเราให้มากขึ้นกันอีกซักนิด เพื่อทำความเข้าใจกับการเปลี่ยนแปลงของร่างกายให้มากขึ้นดีกว่าค่ะ
ฮอร์โมน คือ สารเคมีที่ร่างกายของเราสร้างขึ้นมา มีหน้าที่นำส่งสารเคมีจากเซลล์หนึ่งไปยังเซลล์อื่น ๆ ฮอร์โมนจะเกี่ยวข้องกับการเจริญเติบโต การสลายตัวของเซลล์ รวมถึงระบบภูมิคุ้มกัน นอกจากนั้น ฮอร์โมนยังเกี่ยวข้องโดยตรงกับความอ่อนเยาว์ ความสาว การผลัดของเซลล์ผิว รวมทั้งการสร้างเซลล์ใหม่ด้วย ซึ่งฮอร์โมนที่เกี่ยวข้องกับความสาวมี 4 ชนิดด้วยกันค่ะ ได้แก่ เอสโตรเจน เมลาโทนิน เทสโทสเตอโรน และโกรทฮอร์โมน

ฮอร์โมนเอสโตรเจน
หน้าที่ของฮอร์โมนชนิดนี้ คือการกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนและอีลาสติน ให้ผิวเต่งตึงสดใสมีชีวิตชีวา เมื่อใดที่ร่างกายผลิตฮอร์โมนชนิดนี้น้อยลง ผิวสวยแย่แน่ๆ ค่ะ เพราะจะทำให้ผิวแห้งกร้าน ไม่อุ้งน้ำ ผลที่ตามมาคือ การเกิดรอยย่น ตีนกา และริ้วรอยต่างๆ ยิ่งไปกว่านั้น ผิวแห้งๆ ยังทำให้ผิวเป็นขุย เกิดอาการแพ้ และอาการระคายเคืองได้ง่ายขึ้นอีกด้วยค่ะ

ฮอร์โมนเมลาโทนิน
ฮอร์โมนชนิดนี้จะช่วยต้านอนุมูลอิสระ ทำให้เซลล์ผิวมีความแข็งแรง ชะลอการเกิดริ้วรอย และยังช่วยให้ร่างกายนอนหลับสนิท เมื่อได้พักผ่อนเพียงพอ ผิวพรรณก็จะสดชื่น และเซลล์ใต้ชั้นผิวก็จะทำงานอย่างเป็นระบบ ปัญหาคือร่างกายเรา จะสร้างเมลาโทนินที่ว่านี้น้อยลงเมื่ออายุมากขึ้น

ฮอร์โมนเทสโทสเตอโรน
เมื่อใดที่ฮอร์โมนนี้มีระดับเพิ่มสูงขึ้น สิ่งที่ตามมาก็คือสิวค่ะ และขนค่ะ ตัวการร้ายที่ทำให้รูขุมขนเกิดการอุดตัน แต่ฮอร์โมนชนิดนี้ก็มีส่วนดีก็คือการทำให้ผิวชื้นเต่งตึงในเวลาเดียวกัน เมื่อใดที่ฮอร์โมนชนิดนี้ลดลงเตรียมใจไว้เลยค่ะว่าจะต้องเจอกับปัญหาผิวบาง ตกกระง่าย ผิวหย่อนคล้อย สังเกตได้ง่ายๆ ก็บริเวณรอบดวงตานี่ล่ะค่ะที่ชัดเจนที่สุด

โกรทฮอร์โมน
ฮอร์โมนที่อยู่กับเรามาตั้งแต่วัยเยาว์ มีหน้าที่ทำให้เราเติบโตนั่น ฮอร์โมนตัวนี้จะช่วยสร้างมวลกระดูกและกล้ามเนื้อ ทำให้เราสูง และมีกล้ามเนื้อที่แข็งแรง รวมถึงเชื่อมโยงการทำงานของระบบประสาท และช่วยกระตุ้นการสร้างเซลล์ผิวใหม่ ฮอร์โมนชนิดนี้จะทำงานอย่างเต็มที่จนถึงช่วงอายุประมาณ 20 ปี และจะทำงานลดลงเมื่อเราอายุขึ้นเลข 3 โดยจะลดลงอย่างต่อเนื่อง ปริมาณโกรทฮอร์โมนที่ลดลงนั้นส่งผลต่อสุขภาพและความงามอย่างมากค่ะ เพราะเมื่อใดที่ร่างกายสร้างโกรทฮอร์โมนน้อยลง ผิวพรรณก็จะเสื่อมสภาพลงอย่างรวดเร็ว ขาดการสร้างผิวใหม่ทดแทน ผิวจะซีด หย่อนคล้อย ทั้งบริเวณหนังตา และแก้ม ทั้งการทำงานของกล้ามเนื้อในทุกๆ ส่วนก็จะทำงานได้น้อยลง

การเรียนรู้เรื่องฮอร์โมนภายในร่างกายเป็นการทำความรู้จักกับการเปลี่ยนแปลงของร่างกายในเชิงลึก เพื่อทำความเข้าใจถึงการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น และพร้อมที่จะเตรียมรับต่อความเปลี่ยนแปลงในส่วนต่างๆ ที่จะเกิดขึ้นกับร่างกายของเรานั่นเองค่ะ โดยวงการแพทย์ในปัจจุบันได้พยายามคิดค้นหาวิธีในการชะลอวัยด้วยศาสตร์ต่างๆ มากมาย รวมไปถึงการพยายามคิดค้นฮอร์โมนที่จะเป็นประโยชน์ต่อร่างกาย และมีความก้าวหน้าไปอย่างมาก
วันนี้ ได้รู้จักกับฮอร์โมนเพิ่มขึ้นมาอีกซักหน่อยแล้ว เดี๋ยวสัปดาห์หน้ามาต่อกันค่ะ กับเรื่องของการรักษาสมดุลของฮอร์โมน และการชะลอวัย รักษาความสาวให้อยู่กับเราไปนานๆ
แล้วพบกันนะคะ ^^

สวยใสสมวัยได้ง่ายๆ แค่ดูแลผิวให้ถูกวิธี

ผิวสวยๆ เป็นสิ่งที่คุณสาวๆ ต่างถวิลหา ผิวเต่งตึง เนียนละเอียด ปราศจากจุดด่างดำและริ้วรอยแห่งวัยที่มากวนใจให้อารมณ์ขุ่นมัว ทว่า ด้วยอายุที่เพิ่มขึ้น การทำงานของระบบต่างๆ และฮอร์โมนในร่างกายก็เปลี่ยนไป คุณสาวๆ อย่าเพิ่งกลุ้มใจไป เพราะวันนี้มีคำแนะนำดีๆ สำหรับสาวๆ ทุกคนให้ได้สวยใส ตลอดทุกช่วงวัยมาฝากกันค่ะ

20s (อายุ 20 – 29 ปี) “กรี๊ด สิวขึ้น…”
นักศึกษาและน้องๆจบใหม่ไฟแรง ถึงจะเลยวัยทีนมาแล้ว แต่ผิวก็ยังคงมีการผลิตน้ำมัน (Sebum) อยู่ กับไลฟ์สไตล์ที่ต้องอดนอนอ่านหนังสือบ้าง เจอฝุ่นควันบ้าง ปัญหาสำคัญสำหรับสาวๆ ในวัยนี้คงหนีไม่พ้นเรื่อง “สิว” ค่ะ แม้ว่าผิวเราจะมีการผลัดเปลี่ยนเซลล์ผิวและสร้างเซลล์ผิวใหม่อย่างสม่ำเสมอทุกๆ 28 วัน แต่พอเข้าสู่ช่งวัยยี่สิบปลายๆ วัยทำงาน ความเครียดอาจถามหา ถ้าเครียดมากริ้วรอยเล็กๆ ก็ถามหาได้ มาดูวิธีดูแลผิวสำหรับช่วงวัยในเลข 2 กันดีกว่าค่ะ

วิธีดูแลผิววัย 20 Up :
จะไปมหาวิทยาลัย หรือไปทำงาน สาวๆ วัยนี้ก็เริ่มแต่งหน้าและใช้เครื่องสำอางกันบ้างแล้ว การทำความสะอาดผิวหน้าจึงเป็นเรื่องสำคัญค่ะ ควรใช้ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดหน้าที่มีเนื้อเป็นน้ำมันในการขจัดสิ่งสกปรก สำหรับสาวคนไหนที่เป็นสิวอักเสบบ่อยๆ ควรใช้เจลล้างหน้าที่มีคุณสมบัติในการฆ่าเชื้อแบคทีเรียด้วยนะคะ จะได้สะอาดแบบไร้เชื้อค่ะ
แถมให้สำหรับการถนอมรักษาผิวพรรณบริเวณรอบดวงตา ซึ่งเป็นผิวส่วนที่บอบบางที่สุดบนใบหน้า วัย 20 กว่าๆ ก็ต้องดูแลผิวรอบดวงตากันแล้วนะคะ ลองหาครีมทารอบดวงตาแบบที่มีเนื้อซิลิโคนเพื่อเคลือบผิวไว้เป็นเกราะป้องกันริ้วรอยไว้ตั้งแต่เนินๆ เลยค่ะ
ความชุ่มชื้นเป็นหัวใจสำคัญในการที่จะทำให้ผิวเต่งตึง แม้ว่าผิวในวัย 20 กว่าๆ จะผลิตน้ำมันออกมามาก แต่การทามอยส์เจอไรเซอร์เพื่อให้ผิวชุ่มชื้นก็เป็นสิ่งสำคัญ และทุกครั้งที่ออกจากบ้าน สิ่งที่ผิวเราต้องเจอก็คือรังสียูวี แนะนำให้เลือกใช้ผลิตภัณฑ์กันแดดที่มีค่า SPF 15 เป็นอย่างน้อยทุกวัน เพื่อปกป้องผิวจากแสงแดด ทั้งยังช่วยป้องกันการเกิดฝ้า และจุดด่างดำ

30s (อายุ 30 – 39 ปี) “อ๊ายยยย ตีนกามาได้ไงเนี่ย… ยอมไม่ได้”
ขึ้นเลข 3 แล้ว สาวๆ อาจจะตกใจถึงช่วงเวลาที่ผ่านไปอย่างรวดเร็วแบบน่าใจหาย ผิวในช่วงวัยนี้จะเริ่มผลัดเปลี่ยนเซลล์ผิวช้าลง จึงต้องมีตัวช่วยในการเร่งสร้างเซลล์ผิวใหม่ด้วยการขจัดเซลล์ผิวเก่าที่เสื่อมสภาพ และป้องกันริ้วรอยที่เริ่มมาเยือนจากความเครียดในหน้าที่การงาน และความรับผิดชอบที่มากขึ้น ยิ่งถ้าโดนแดด ฝ้าและจุดด่างดำก็มักจะออกมาแสดงตัวได้ง่ายๆ บางครั้ง เครียดหนัก หรือนอนน้อย “สิว” ก็ยังจะถามหาได้อีก แต่ดูแลผิวสำหรับวัยนี้ไม่ยากค่ะ มาดูกันเลย

วิธีดูแลผิววัย 30 Up
อย่างแรกคือเรื่องความสะอาด สาวๆ ควรเลือกผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดที่เป็นเนื้อครีมนะคะ เพราะผิววัยนี้ผลิตน้ำมันได้น้อยลงแล้ว และจากการผลัดผิวที่ช้าลง จะทำให้สาวๆ ต้องเร่งการผลัดเปลี่ยนเซลล์ผิวและเพิ่มความกระจ่างใส ด้วยการสครับเป็นประจำ อย่างน้อย 1-2 ครั้งต่อสัปดาห์ เพื่อขจัดเซลล์ผิวที่ตายแล้ว และกระตุ้นการสร้างเซลล์ผิวใหม่
วัยนี้การใช้ Toner เริ่มเป็นสิ่งจำเป็น เพราะโทนเนอร์จะช่วยปรับสภาพผิวให้ความชุ่มชื้น รวมทั้งมีวิตามินที่ช่วยต่อต้านอนุมูลอิสระ และ เมื่อริ้วรอยเริ่มถามหา ก็ต้องรีบสยบทุกปัญหารอบดวงตาด้วยวิตามินจำพวกมัลติวิตามิน ที่มีคุณสมบัติ ดูแลครอบคลุมทั้งริ้วรอยและความหมองคล้ำรอบดวงตา และทุกครั้งก่อนออกจากบ้าน อย่าลืมทาครีมกันแดด ที่มีค่า SPF 30 เป็นประจำทุกวันด้วยค่ะ

40s (อายุ 40 – 49 ปี) “สวยๆ เริ่ดๆ ในแบบที่ฉันป็นฉันเอง”
ก้าวเข้าสู่วัยเลข 4 แล้ว สาวๆ ทำความรู้จักกับผิวของตัวเองมานานพอดู แต่สิ่งที่ไม่รู้และกำลังเปลี่ยนแปลงอยู่ภายใน นั่นคือเรื่อง “ฮอร์โมน” การผลิตฮอร์โมนที่น้อยลงจะทำให้ผิวแห้ง ขาดความยืดหยุ่น และแพ้ง่าย บางครั้งผิวอาจเกิดผื่นแดงจากการแพ้ เป็นเพราะร่างกายผลิตคอลลาเจนน้อยลง ริ้วรอยเริ่มลึก มีจุดด่างดำ ทั้งสีผิวที่ไม่สม่ำเสมอก็เริ่มปรากฎชัดเจนขึ้น จากการผลัดเปลี่ยนเซลล์ผิวที่ช้าลง

วิธีดูแลผิววัย 40 Up
ตื่นเช้ามา เริ่มต้นด้วยการล้างหน้า เลือกผลิตภัณฑ์ที่ช่วยทำความสะอาดและขจัดเซลล์ผิวที่เสื่อมสภาพนะคะ สำหรับตอนเย็น ก็ทำความสะอาดผิวด้วยผลิตภัณฑ์ที่เป็นเนื้อครีม เพื่อให้ผิวชุ่มชื้นค่ะ ลบเลือนริ้วรอย ขจัดความแห้งกร้าน และอาการแพ้ไวของผิว ด้วยครีมบำรุงผิวเนื้อครีมข้น และใช้ผลิตภัณฑ์กันแดด SPF 30 หรือมากกว่า เลือกใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของโปรตีน เปปไทด์ เพื่อกระตุ้นการเสริมสร้างคอลลาเจน และเลือกผลิตภัณฑ์บำรุงผิวรอบดวงตา ที่ช่วยขจัดและลดเลือนริ้วรอย รอยบวม ขอบตาคล้ำดำ และควรใช้ผลิตภัณฑ์ที่ช่วยลดเลือนริ้วรอยควบคู่ไปกับการทำทรีตเมนท์ด้วยค่ะ

50s (อายุ 50 – 59 ปี) “งามสมวัย”

ช่วงอายุนี้ผิวจะแห้งลงอย่างเห็นได้ชัด ทิ้งร่องรอยของวัยไว้หลายจุด ขนาดของรูขุมขนจะขยายจนเห็นได้ และจุดด่างดำก็เกิดขึ้นได้ง่ายอีกด้วย ยิ่ไปกว่านั้น การเข้าสู่ช่วงภาวะหมดประจำเดือน การเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนจะยิ่งทำให้ผิวแห้งและแพ้ได้ง่ายยิ่งขึ้นไปอีก

วีธีดูแลผิวของสาว 50 Up
เริ่มต้นด้วยการเติมน้ำมันให้แก่ผิวอย่างสม่ำเสมอด้วยผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดที่มีเนื้อครีม และเติมความชุ่มชื้นด้วยครีมบำรุงผิวในคราวเดียวกัน เลือกบำรุงผิวด้วยผลิตภัณฑ์ที่มีเนื้อครีมข้น และมีส่วนผสมของ วิตามินอี เพื่อปกป้องผิวและเพิ่มความนุ่มเนียน มีโพลีเปปไทด์เพื่อกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน และมีเรตินอลเพื่อช่วยลบริ้วรอยแห่งวัย นอกจากนั้นควรทำทรีตเมนต์ กระตุ้นการขจัดเซลล์ผิวเก่า และเร่งการสร้างเซลล์ผิวใหม่ เป็นการช่วยบำรุงผิวพรรณ และลดริ้วรอยที่เกิดขึ้นตามวัยให้ผิวแลดูเปล่งปลั่งสดใส

แต่ละช่วงวัยมีความสวยในแบบเฉพาะของตนเอง ค้นหาให้เจอ เพื่อเปล่งประกายความงามจากภายในออกมาอวดกันนะคะ