รู้จักกับ ‘ข้าว’ แต่ละชนิด

rice
ทุกวันนี้ ถ้าไปเดินซื้อของ พอถึงชั้นขายข้าว เราก็จะเจอกับข้าวหลากหลายสายพันธุ์ ทั้งสีสันก็สวยงาม จนเลือกกันไม่ถูก ผิดกับสมัยก่อน ที่มีให้เลือกเพียงข้าวขาว ข้าวหอมมะลิ เมล็ดหักกี่เปอร์เซนต์ ปลายข้าว หรือข้าวร้อยเปอร์เซนต์ พอมีให้เลือกมากขนาดนี้ แล้วจะเลือกข้าวอะไรดี แต่ละชนิดมีประโยชน์ต่างกันอย่างไร … วันนี้เรามีความรู้ดีๆ เกี่ยวกับเรื่องข้าวมาฝากกันค่ะ

เริ่มกันที่ ข้าวกล้อง ผลผลิตจากข้าวเปลือก ที่นำไปสีเอาเปลือกแข็งๆ ออก ข้าวที่ได้จากการสีข้าวครั้งแรกนี้ล่ะค่ะ คือข้าวกล้อง หรือที่บางครั้งเราเรียกว่าข้าวซ้อมมือ เราจะเห็นว่าข้าวกล้องมีทั้งสีแดง สีน้ำตาล หรือสีเหลืองนวล บางครั้งก็มีเมล็ดยาว บางครั้งก็มีเมล็ดสั้น เหล่านี้เรียกรวมๆ ว่าข้าวกล้องเหมือนกันทั้งหมด เพราะผ่านการสีเพียงครั้งเดียว ยกตัวอย่างเช่น ข้าวหอมมะลิถ้าผ่านการสีเพียงครั้งเดียวก็จะเรียกว่า ข้าวกล้องหอมมะลิค่ะ วิธีสังเกตง่ายๆ ปลายข้าวจะยังเต็มเมล็ด ไม่มีรอยบุ๋ม และที่เมล็ดข้าวจะมีรำข้าวเหลืออยู่ด้วย ส่วนนี้ล่ะค่ะที่อุดมไปด้วยประโยชน์ ทั้งโปรตีน สารอาหาร วิตามิน และไฟเบอร์

ข้าวสาร หรือ ข้าวขาว ได้จากการนำข้าวกล้องกลับไปสีอีกรอบ ทำให้ทั้งเปลือก รำข้าว และจมูกข้าวหลุดออกไป สังเกตว่าจะมีรอยบุ๋มที่ปลายเมล็ด สีจนได้ข้าวที่ขาวสวย เมล็ดเรียวยาว แต่ก็พลอยทำให้สารอาหารหลายๆ อย่างหลุดออกไปด้วย อย่างไรก็ตาม ด้วยคุณสมบัติของข้าวก็ยังคงจะอุดมไปด้วยโปรตีน และคาร์โบไฮเดรต แหล่งพลังงานที่สำคัญต่อร่างกาย นอกจากนั้นยังมีเส้นใยอาหารที่ดีต่อระบบการขับถ่าย ป้องกันการเกิดท้องผูก รวมทั้งมีแร่ธาตุ และวิตามิน ต่างๆ เช่น ไนอาซีน ที่ช่วยรักษาผิวหนัง วิตามินบี ที่ช่วยบำรุงระบบประสาท และ ธาตุเหล็กที่ช่วยสร้างเม็ดเลือด ช่วยป้องกันการเป็นโรคโลหิตจางอีกด้วย

ข้าวแดง ข้าวชนิดนี้สีสดสวยกว่าใครเพื่อน และเป็นข้าวพันธุ์พิเศษ เปลือก และตัวเมล็ดจะเป็นสีแดง พบได้ทั้งในประเทศไทย และในต่างประเทศ อย่างเช่น ประเทศภูฏาน หรือแม้แต่ในประเทศฝรั่งเศส ประโยชน์ก็มาก มีทั้งวิตามินบี 1 ที่ช่วยป้องกันการเป็นเหน็บชา วิตามินบี 2 ที่ช่วยป้องโรคปากนกกระจอก และวิตามินบี 6 ที่ช่วยป้องกันการเป็นโรคเกี่ยวกับผิวหนังต่างๆ

ข้าวสีนิล หรือ บางครั้งก็เรียกกันว่า Rice berry ข้าวชนิดนี้เป็นข้าวพันธุ์พิเศษเช่นเดียวกับข้าวแดง มีทั้งแบบเป็นข้าวเหนียว และข้าวเจ้า มีทั้งของไทย อินโดนีเซีย และจีน ข้าวชนิดนี้มีสาร anthocyanin เป็นจำนวนมาก สีจึงเข้มกว่าข้าวแดง นอกจากนั้นข้าวชนิดนี้ยังมีทั้งธาตุเหล็ก และ สารต้านอนุมูลอิสระมากกว่าข้าวทั่วไปถึง 7 เท่าเลยทีเดียว จึงมีส่วนช่วยลดความเสี่ยงของการเกิดโรคมะเร็งอีกด้วยค่ะ นอกจากนั้นใยอาหาร และแร่ธาตุที่อยู่ในข้าวสีนิลนั้นยังมีส่วนช่วยลดน้ำตาลที่อยู่ในเลือด ช่วยทำให้ผมดกดำ รากผมแข็งแรง บำรุงระบบการทำงานของสมอง ตับ ปอด เพิ่มภูมิคุ้มกัน บำรุงสายตา บำรุงกระดูกไม่ให้กระดูกเสื่อม ทำให้กล้ามเนื้อยืดขยายได้ดี ป้องกันการเกิดโรคเหน็บชา ลดคลอเรสเตอรอลในเลือด ช่วยให้ระบบการขับถ่ายเป็นปกติ และยังช่วยซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอเป็นอย่างดี เนื่องจากมีวิตามิน และโปรตีนในปริมาณที่สูงมาก

นำมาฝากกันอีกซักหน่อย กับ ข้าวดอย ข้าวชนิดนี้มีวิตามินบี 1 มากกว่าข้าวขาวถึง 371 เท่าเลยทีเดียว และยังเป็นแหล่งอาหารที่มีสารอาหารที่เป็นประโยชน์กับร่างกายไม่ต่ำกว่า 15 ชนิด อย่างเช่น วิตามินประเภทต่างๆ โปรตีน ไขมัน และเกลือแร่ที่จะช่วยบำรุงร่างกายให้เจริญเติบโตและแข็งแรงยิ่งขึ้น

เป็นอย่างไรกันบ้าง ได้รู้เรื่องของข้าวกันมากขึ้น คราวนี้ ไปเดินเลือกซื้อข้าวกันครั้งหน้า คงจะมีตัวเลือกในใจกันบ้างแล้วนะคะ ^^

สาวๆ รองเท้าส้นสูง และเรื่องของสุขภาพที่ควรระวัง

สาวๆ ส่วนมากคงพอจะทราบกันบ้างแล้ว ถึงข้อเสียจากการใส่ส้นสูง ทั้งทำให้ปวดเท้า เมื่อยขา แต่ถึงเวลาต้องแต่งสวยแบบจัดเต็มทีไร ก็อดไม่ได้ที่จะต้องหยิบเจ้ารองเท้าส้นสูงคู่สวยมาใส่ประชันความงามกันแบบไม่ยอมน้อยหน้าใคร … แหม ก็ใครจะยอมทิ้งความเพรียว สวยสง่า ที่ได้จากการใส่รองเท้าส้นสูงกันได้ลงคอ…
แต่ก่อนจะตัดสินใจหยิบรองเท้าคู่ใหม่มาลอง วันนี้มาทำความเข้าใจเพิ่มกันอีกสักนิดนะคะ ว่ารองเท้าส้นสูงๆ ที่เราเลือกใส่นั้น มีผลต่อสุขภาพของเราอย่างไรบ้าง

รองเท้าส้นเข็ม
ส้นเข็มคู่ใจสาวสวย ใส่ทีไรเหมือนต้องมนต์ ขาจะสวยเพรียวขึ้นทันตาเห็น และด้วยความที่มีส้นที่เพรียวเล็กจึงช่วยให้ดูไม่ตันอีกต่างหาก มือใหม่หัดใส่อาจร้อง “ยี้” เพราะแค่ส้นสูงปกติก็ลำบากแล้ว เจ้ารองเท้าส้นเข็มยิ่งทำให้ทรงตัวยากขึ้นไปอีก ด้วยส้นที่เล็กมาก การทิ้งน้ำหนักต้องกดลงไปที่จุดเดียว ทำให้ไม่สามารถรองรับน้ำหนักตัวเราได้อย่างสมดุล จมูกเท้าด้านหน้าต้องรับบทหนัก แถมเวลาเดินจะเกิดการกระแทกย้อนกลับมาที่เท้า ใส่แต่ละครั้งจึงรู้สึกได้ว่าไม่สบายเท้า ทั้งคุณสาวๆ ยังต้องเผชิญกับความเสี่ยง ทั้งเท้าพลิก เท้าแพลง และทำให้เกิดอาการเคล็ดขัดยอกกันได้ง่ายๆ

รองเท้าหัวแหลม
แฟชั่นรองเท้าหัวแหลมช่วยให้ลุ้คดูเปรี๊ยวจี๊ด ทันสมัย กระฉับกระเฉง ตามคอนเซ็ปต์สาวมั่นยุคใหม่ แต่ลองก้มมองที่เท้าของเราสักนิดนะคะ เพราะเปอร์เซ็นต์ส่วนใหญ่ของเท้าคนไทยล้วนมีหน้าเท้าที่กว้าง เมื่อพยายามสอดปลายเท้าลงไปในรองเท้าหัวแหลมๆก็เท่ากับเป็นการบีบหน้าเท้าตัวเองทำให้เสียรูป ยิ่งถ้าเป็นรองเท้าส้นสูงหัวแหลมด้วยยิ่งหนัก เพราะน้ำหนักจะยิ่งเทไปด้านหน้ามากขึ้นอีก เดินไปสักพักก็มักจะปวดเท้ากันทุกคน อาการที่มักจะเกิดตามมาได้แก่ กล้ามเนื้ออักเสบ และตาปลา เพราะในแต่ละก้าวที่เดินกล้ามเนื้อจะถูกบีบรัดและเสียดสีตลอดเวลา ยิ่งถ้าปล่อยไว้นาน นิ้วเท้าอาจผิดรูปไปได้เลยล่ะค่ะ

รองเท้าส้นสูงปรี๊ด
สาวๆ ไซส์มินิ มาตรฐานแบบไทยๆ อาจคิดว่าส่วนสูงของตัวเองเป็นปมด้อย เพราะไม่ว่าจะซื้อกางเกงก็ต้องตัดขา หรือจะตามแฟชั่นกระโปรงยาว ก็ยาวจนลากพื้น ตัดสินใจต้องเลือกเพื่อนคู่ใจเป็นรองเท้าส้นสูงปรี๊ด ความสูงจะได้เชิดหน้าชูตาขึ้นมาหน่อย แต่รองเท้าที่ส้นสูงปรี๊ดนั้นทำให้เราต้องเดินเขย่งตลอดเวลา ยิ่งเป็นรองเท้าที่ความสูงของด้านหน้าและด้านหลังต่างกันมากๆ น้ำหนักทั้งหมดจะตกลงมาที่จมูกเท้าหมด ทีนี้เท้าก็จะงอผิดธรรมชาติ กล้ามเนื้อบริเวณน่องจะเกร็งขึ้นมากกว่าปกติ จึงทำให้ทั้งปวดเท้า เมื่อยน่องทุกครั้งที่ใส่ บางคนที่ใส่รองเท้าส้นสูงไปนานๆ อาจเกิดปุ่มแข็งๆ ยื่นออกมาตรงส้นเท้า (Pump Bump) เป็นกระดูกที่งอกออกมาแบบผิดปกติ ปุ่มแข็งๆ นี้ถ้าสียดสีกับส้นรองเท้าบ่อยๆ ก็อาจกลายเป็นแผลพุพอง แผลกดทับ เกิดอาการปวดแบบถาวรได้

รองเท้าแพลตฟอร์ม
สาวๆ อาจแปลกใจว่าทำไมเลือกรองเท้ามีส้นสูงเสมอกันแล้ว ทำไม ยังจะมีข้อเสียได้อีก ก็เพราะรองเท้าแบบแพลตฟอร์มถึงจะดูสวย น่าจะใส่สบาย แต่รองเท้าแบบนี้ไม่ได้ออกแบบมาให้รองรับน้ำหนักและรูปทรงของเท้า ไม่ยืดหยุ่นในยามเคลื่อนไหว ซ้ำร้าย พื้นรองที่เท้าแข็ง และหนา จะบังคับไม่ให้เท้าเคลื่อนไหวได้อย่างอิสระ แต่เราอาจจะไม่รู้ตัวว่าเท้าของเราเกร็งทุกครั้งที่เคลื่อนไหว และพยายามทรงตัว ยิ่งบางคู่ที่ออกแบบผิดส่วน ฝ่าเท้าไม่สัมผัสกับพื้นรองเท้า ยิ่งทำให้การทรงตัวยากขึ้นไปอีก ผลคือกล้ามเนื้อเกิดอาการเกร็ง ปวดเมื่อย ยิ่งถ้ารองเท้าคู่นั้นสูงมาก ก็จะยิ่งกดทับกระดูกฝ่าเท้ามากขึ้นไปอีก และการทรงตัวที่ลำบากก็อาจทำให้สะดุดหกล้มบาดเจ็บกันได้ง่ายๆเลยทีเดียว

รองเท้าส้นแบน แฟลตชูว์
แม้จะหนีจากรองเท้าส้นสูงๆ หันมาคบรองเท้าส้นแบน แบบติดดินสุดๆ แล้ว ก็ยังหนีอาการปวดเมื่อยเท้าเมื่อเดินไกลๆ ไม่ได้ สาเหตุก็มาจากการไม่มีพื้นรองเท้านี่แหละค่ะ รองเท้าที่แบนราบไปกับพื้นเลยนั้นไม่ช่วยรองรับแรงกระแทก แถมยังจะไม่เข้ากับสรีระของเท้าอีกด้วย อาจทำให้เกิดออาการเจ็บเข่า ลามไปถึงสะโพกและหลังได้ สำหรับบางคนอาจเกิดถึงขั้นมีอาการเอ็นฝ่าเท้าอักเสบได้เลย รองเท้าที่ดีจึงควรหนาขึ้นมาสัดนิด แล้วมีแผ่นรองเท้าเพื่อรองรับกับรูปเท้าในทุกขณะของการเคลื่อนไหวค่ะ

เคล็ดลับ : เลือกรองเท้าต้องดูอะไรบ้าง
ลักษณะรองเท้า : เลือกรองเท้าที่มีลักษณะเข้ากับรูปเท้า
พื้นด้านในรองเท้า : ควรเลือกรองเท้าที่ใช้วัสดุด้านในที่นุ่มสบายเท้า และสามารถช่วยรับน้ำหนักได้
พื้นรองเท้า : เจอรองเท้าถูกใจแล้ว ลองพลิกดูพื้นรองเท้าด้วย ว่าวัสดุมีความฝืดแค่ไหนสำหรับการป้องกันการลื่นในยามก้าวเดิน และมีลวดลายอย่างไร ลายเฉียงคล้ายสามเหลี่ยมที่หันมาด้านหน้า จะช่วยเรื่องการยึดเกาะพื้นได้ดีไม่แพ้ลวดลายขรุขระอื่นๆเลยทีเดียวค่ะ
ส้นรองเท้า : รองเท้าที่ดีส้นรองเท้าไม่ควรสูงเกิน 1 นิ้ว และถ้าอยากใส่ส้นสูงก็ไม่ควรเกิน 2 นิ้ว และใส่ต่อเนื่องไม่เกิน 3 ชั่วโมงในแต่ละครั้ง ที่สำคัญควรถอดออกให้เท้าของคุณได้พักบ้างในเวลาที่ไม่ต้องเดิน
น้ำหนักของรองเท้า : ลองจับๆ ยกๆ รองเท้าดู แล้วเลือกรองเท้าที่มีน้ำหนักเบา รองเท้าที่ทำจากยางหนาๆ มีน้ำหนักมาก จะทำให้เดินยากและหกล้มได้ง่าย เลือกรองเท้าที่ทำจากยางที่มีน้ำหนักเบาจะทำให้เคลื่อนไหวได้สะดวกกว่า

TIPS : รู้จักโครงสร้างของเท้า
เท้าประกอบด้วยกระดูก 28 ชิ้น ต่อกับข้อเท้า และมีกล้ามเนื้อที่เกาะจากขาท่อนล่างมาที่เท้าทั้งหมด13 มัด ภายในฝ่าเท้ามีกล้ามเนื้อรวม 19 มัด และยังมีเส้นเอ็น กล้ามเนื้อต่าง ๆ มากกว่า 100 ชิ้น เพื่อควบคุมการเคลื่อนไหวของเท้า โครงสร้างของเท้ามีส่วนโค้งของฝ่าเท้าตามยาวและตามขวาง ส่วนโค้งนี้ทำให้เท้าสามารถรับน้ำหนักได้หลายเท่าตัว แต่การใส่ส้นสูงจะทำให้น้ำหนักกดลงไปที่กระดูกนิ้วเท้า, กระดูกข้อต่อนิ้วเท้า, ข้อเท้า และเส้นเอ็น ที่มักเกิดปัญหาคือเอ็นร้อยหวายที่จะต้องเกร็งตัวตลอดเวลาเมื่อเราใส่รองเท้าส้นสูงค่ะ

ชะลอวัย ง่ายๆ กับเมนูใกล้ตัว


ไม่ว่าใครก็ไม่อยากปล่อยให้ตัวเองดูแก่กว่าวัย แล้วเรื่องไม่ยอมแก่นี่ล่ะค่ะ คงจะต้องยกให้สาวๆ กันเลย ก็ไม่ว่าสาวคนไหนก็อยากที่อยากจะดูสาว ดูสวยอยู่ตลอดเวลา ไม่ยอมแพ้ให้กับตัวเลขของวัยที่เพิ่มขึ้นมาในทุกขณะ แม้ว่าหลายๆ ครั้ง อายุอาจจะขึ้นเลขหลายหลักกันไปแล้วก็ตาม  แต่จะทำอย่างไรดี เมื่อสภาพร่างกายเปลี่ยนไปตามวันเวลา และริ้วรอยต่างๆ เริ่มถามหา นี้เรามีความรู้ดีๆ เกี่ยวกับการเลือกทานอาหารที่จะช่วยหยุดความสวย ชะลอความเสื่อมของร่างกายให้อยู่กับเราแบบแข็งแรงๆ นานๆ มาฝากกันค่ะ

หยุดผิวเหี่ยวย่น
เมื่ออายุเพิ่มขึ้น น้ำหล่อเลี้ยงผิวก็ลดลง ทำให้ผิวไม่เต่งตึงเหมือนดังก่อน “เต้าหู้” ขาวๆ อวบๆ นี่ล่ะค่ะช่วยได้ เพราะเต้าหู้มีฮอร์โมนเอสโตรเจน ซึ่งเป็นฮอร์โมนเพศหญิง มีส่วนช่วยทำให้ผิวเนียนนุ่ม ผิวพรรณผ่องใส ช่วยหยุดยั้งผิวที่ซีดเซียว เหี่ยวแห้งให้กลับมามีชีวิตชีวาอีกครั้ง

หยุดผมขาวไม่น่ามอง
ผมที่ค่อยๆ เปลี่ยนสีไปทีละเส้น อาจเป็นปัญหาที่คอยบั่นทอนความมั่นใจของคุณสาวๆ การย้อมผมอาจเป็นตัวช่วยหนึ่ง แต่อีกทางเลือกหนึ่งที่ดีไม่แพ้กันคือ การรับประทาน “วอลนัท” เพราะวอลนัทอุดมไปด้วย ทองแดง และทองแดงนี้จะช่วยคงสภาพสีผมของคุณไม่ให้เปลี่ยนสีก่อนวัยอันควร

หยุดสายตาฝ้าฟาง
ปัญหาเรื่องสายตาเป็นปัญหาอันดับต้นๆ เลยนะคะ สำหรับผู้ที่มีอายุเพิ่มขึ้น ซึ่งการดูแลรักษาดวงตานั้นเราควรเริ่มทำตั้งแต่วันนี้ ลองเลือกผลไม้ที่มีประโยชน์ตามนี้ค่ะ ผลไม้ที่จะช่วยบำรุงสายตาได้แก่ผลไม้ในตระกูลเบอรี่ โดยเฉพาะ “บลูเบอรี่” ค่ะ เพราะผลสีม่วงๆ ของบลูเบอรี่จะมีแอนโทไซยานิน (anthocyanin) อยู่ และสารนี้เองล่ะค่ะที่ช่วยในเรื่องของการมองเห็น หรือจะเลือกทานคู่กันกับ “แอปริคอท” ก็ได้ เพราะในแอปริคอทนั้นอุดมไปด้วยสารเบตาแคโรทีน ที่ช่วยชะลอการเสื่อมถอยของเลนส์ตาค่ะ

หยุดอาการหลงๆ ลืมๆ
เดี๋ยวลืมโน่น ลืมนี้ ขนาดแว่นที่กำลังใส่อยู่ยังลืมได้… ส่วนหนึ่งเป็นเพราะเซลล์สมองเสื่อมถอยไปตามกาลเวลา แต่เราสามารถยืดอายุสมองให้ยาวนานได้ด้วยการรับประทาน “มะเขือม่วง” เพราะในเปลือกของมะเขือม่วงอุดมไปด้วยนาซูนิน (nasunin) สารที่มีคุณสมบัติในการช่วยปกป้องเซลล์สมองของเราจากการถูกทำลาย เพื่อคงความปราดเปรื่องของสมองเราไว้ค่ะ

เมนูง่ายๆ ใกล้ๆ ตัว หาทานได้ทั่วไปแบบนี้ล่ะค่ะ ที่ช่วยคงความอ่อนเยาว์ของทั้งผิว ผม สายตา รวมทั้งสมองของเราให้อ่อนเยาว์ และมีอายุยืนยาว
วันนี้ ได้ความรู้ดีๆ กันแล้ว อย่าลืมนำไปใช้กันด้วยนะคะ

เอสโตรเจน ฮอร์โมนของความสดใส


ฮอร์โมน เอสโตรเจน Estrogen เป็นฮอร์โมนสำคัญโดยเฉพาะสำหรับผู้หญิงทุกคน เพราะเป็นฮอร์โมนที่ช่วยให้ร่างกาย และเนื้อเยื่อต่างๆ มีความแข็งแรง แสดงให้เห็นถึงความเป็นผู้หญิงที่สมบูรณ์ เช่น มีการขยายของหน้าอก มากขึ้น ผิวพรรณดูเต่งตึง สดใส มีน้ำมี นวล เซลล์ต่างๆ เสื่อมสภาพช้าลง และช่วยให้กระดูกคงสภาพที่แข็งแรง นอกจากนั้น เอสโตรเจน ยังมีผลต่ออวัยวะภายในของเราทุกระบบ ทั้งในส่วนของสมอง ที่ช่วยในเรื่องความจำ กระตุ้นให้เกิดความเจริญเติบโตเมื่อเข้าสู่วัยสาว และ ควบคุมการสร้างคอเลสเตอรอล ที่จะช่วยลดความเสี่ยงต่อการเกิดไขมันอุดตันในเส้นเลือด

อย่างไรก็ตาม เมื่ออายุมากขึ้นร่างกายจะผลิตฮอร์โมนเอสโตรเจน ในปริมาณที่น้อยลง ซึ่งอาจส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทั้งทางร่างกาย และอารมณ์ เป็นภาวะที่เรามักเรียกกันว่า “วัยทอง” ซึ่งเป็นได้ทั้งในผู้ชาย และผู้หญิง ทว่าสำหรับผู้หญิงแล้ว ระดับของฮอร์โมนเอสโตรเจนจะลดลงเร็วกว่าผู้ชาย ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงที่ชัดกว่า และมักจะเกิดในช่วงวัยที่เร็วกว่า โดยผลจากการลดลงของฮอร์โมนเอสโตรเจน อาจส่งผลให้มีอาการต่างๆ ได้แก่ ในผู้หญิง อาจมีประจำเดือนมาน้อย และไม่สม่ำเสมอ มีอาการร้อนวูบตามร่างกาย  ใจสั่น เหนื่อยง่าย มีเหงื่อออกมากในช่วงกลางคืน หรือมีอาการหนาวสั่นโดยไม่มีสาเหตุ และนอนหลับได้ยาก นอกจากนั้น อาจมีอาการปวดเมื่อยตามข้อ และกระดูก ปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ ทั้งยังอาจมีภาวะกระดูกบาง เปราะ และเสี่ยงต่อการกระดูกหักได้ง่ายเมื่อหกล้ม
การลดลงของฮอร์โมนเอสโตรเจน ยังจะส่งผลต่อผิวพรรณ โดยผิวหนังจะบางลง แห้ง เกิดเป็นแผล และผื่นแพ้ได้ง่าย ทั้งเส้นผม อาจจะบางลง หลุดร่วงได้ง่าย และหยาบ แห้ง ไม่เป็นเงางามเช่นเคยอีกด้วยค่ะ ที่สำคัญ การขาดฮอร์โมนเอสโตรเจน ยังจะมีผลต่ออารมณ์ ทำให้เกิดภาวะเครียด ใจร้อน หงุดหงิดได้ง่ายโดยไม่มีสาเหตุ ควบคุมอารมณ์และความรู้สึกได้ยาก และในบางรายอาจเกิดภาวะซึมเศร้า วิงเวียนศีรษะ หรือหลงลืมได้อีกด้วย

ทราบถึงความสำคัญของฮอร์โมนเอสโตรเจนกันแล้ว หลายๆ คนอาจจะกังวล ว่าแล้วเราควรจะทำอย่างไรได้บ้างเพื่อรักษาระดับของฮอร์โมนในร่างกายให้คงความสมดุล บางคนอาจจะเลือกปรึกษาแพทย์ และรับฮอร์โมนทดแทน ซึ่งกรณีนี้แนะนำว่าควรใช้ตามความจำเป็น และอยู่ภายใต้การดูแลของแพทย์เท่านั้น ซึ่งก็อาจส่งผลต่อการเกิดอาการข้างเคียง เช่น มีน้ำหนักตัวเพิ่มขึ้น มีอาการปวดศีรษะไมเกรน หรือมีเลือดออกทางช่องคลอดในช่วงแรกที่รับฮอร์โมนทดแทนได้

สำหรับกรณีที่ไม่ได้มีปัญหาอย่างรุนแรง การรักษาสมดุลของฮอร์โมนในร่างกาย อาจทำได้ด้วยการดูแลด้านโภชนาการ โดยเลือกทานอาหารที่มีฮอร์โมนเอสโตรเจนตามธรรมชาติเพื่อชดเชยปริมาณฮอร์โมนที่ลดลงได้ค่ะ ลองมาดูกัน ว่าอาหารประเภทใดบ้างที่ให้ฮอร์โมนเอสโตรเจนได้บ้าง

อย่างแรกเลย น้ำมะพร้าว ในน้ำมะพร้าวมีฮอร์โมนเอสโตรเจน ซึ่งมีส่วนสำคัญต่อการสร้างคอลลาเจน และอีลาสติน ที่จะช่วยให้ผิวมีความยืดหยุ่น ชะลอการเกิดริ้วรอยก่อนวัย อีกทั้งยังมีฤทธิ์ช่วยขับปัสสาวะ ขับของเสียหรือสารพิษออกจากร่างกายอีกด้วย
ต่อมาเป็นลูกพรุน เนื่องจากในลูกพรุนมีสารไฟโตเอสโตรเจน ออกฤทธิ์คล้ายฮอร์โมนเพศหญิงทั้งยังเต็มไปด้วยไฟเบอร์ ที่จะช่วยในระบบขับถ่าย และช่วยในการปรับสมดุลของระดับน้ำตาลในเลือด
นอกจากนั้น ยังมี แครอท ซึ่งมีสารลิกแนน จัดเป็นโฟโตเอสโตรเจนชนิดหนึ่งที่ออกฤทธิ์คล้ายฮอร์โมนเอสโตรเจนในร่างกาย รวมถึงธัญพืช ถั่วชนิดต่างๆ และผลิตภัณฑ์จากถั่ว เช่น เต้าหู้ น้ำเต้าหู้ ที่ต่างก็มีโฟโตเอสโตรเจน ที่จะช่วยปรับสมดุลฮอร์โมนเพศหญิงได้ สาวๆ ที่เริ่มมีอายุมากขึ้น อาจเลือกทานอาหารที่มีฮอร์โมนตามธรรมชาติเหล่านี้เพื่อช่วยชดเชยการลดลงของฮอร์โมนได้เช่นกันค่ะ

ฟิตแอนด์เฟิร์ม ต้อนรับปีใหม่

เทรนด์สุขภาพ นอกเหนือจากเรื่องของโภชนาการแล้ว เดี๋ยวนี้ผู้คนต่างก็เริ่มให้ความสำคัญ หันมาออกกำลังกายกันมากขึ้น เพราะการออกกำลังกายวันนี้ ไม่ใช่เพียงแค่ให้ฟิตแอนด์เฟิร์มขึ้นเท่านั้น แต่ยังมีส่วนช่วยให้ร่างกายแข็งแรง เสริมสร้างเกราะป้องกันให้กับร่างกายและช่วยลดความเสี่ยงจากการป่วยไข้จากสถานการณ์การแพร่ระบาดของ Covid-19 อีกด้วย ซึ่งต้องนับว่าเป็นเรื่องที่ดีมากๆ

แต่เคยรู้สึกกันหรือเปล่าคะ ว่าหลายๆ ครั้งที่เราไปออกกำลังกาย เล่นกีฬาหนักๆ หวังว่าจะได้เบิร์นพลังงาน และขจัดเจ้าไขมันส่วนเกินลงไปบ้าง แต่เจ้าไขมันที่แอบมาอยู่นิ่งๆ ที่รอบเอวก็ยังจะดื้อ ไม่ยอมหลบไปไหน ทั้งๆ ที่กิจกรรมที่เราทำ การออกกำลังกายหนักๆ ก็น่าที่จะได้เผาผลาญพลังงานไปได้เยอะแล้ว ลองมาดูกันค่ะ ว่ากีฬาที่เราไปเล่น กับการออกกำลังกายแต่ละประเภท ช่วยเผาผลาญพลังงานกันอย่างไรบ้าง เป็นอย่างที่เราคิดหรือเปล่า

เริ่มด้วยกีฬากอล์ฟ การออกรอบ เล่นกอล์ฟ เป็นเวลาประมาณ 1 ช.ม. จะเผาผลาญพลังงานประมาณ 250 กิโลแคลอรี่ ดูจะน้อยกว่าการเดิน ที่หากเดินอย่างต่อเนื่องเป็นเวลาประมาณ 1 ช.ม. จะเผาผลาญพลังงานได้ประมาณ 325 กิโลแคลอรี่ ใกล้เคียงกับการเล่นแบดมินตัน ที่หากเราเล่นแบดมินตันเป็นเวลาประมาณ 1 ช.ม. จะเผาผลาญพลังงานได้ถึงประมาณ 350-400 กิโลแคลอรี่

การออกกำลังกายที่เผาผลาญพลังงานได้เป็นอย่างดี ได้แก่การเต้นแอโรบิค ที่จะเผาผลาญพลังงานประมาณ 500-600 กิโลแคลอรี่ การวิ่งเหยาะ  เผาผลาญพลังงานประมาณ 600-700 กิโลแคลอรี่ การปั่นจักรยาน ด้วยความเร็วประมาณ 20 ก.ม. ต่อชั่วโมง เผาผลาญพลังงานประมาณ 700 กิโล แคลอรี่ และ การว่ายน้ำ ด้วยความเร็วประมาณ 3 ก.ม. ต่อ ชั่วโมง เผาผลาญพลังงานประมาณ 850 กิโลแคลอรี่ จากการออกกำลังกายประมาณ 1 ชั่วโมงเท่าๆ กันค่ะ

ยกมาให้ดูกันพอเป็นตัวอย่าง คงพอจะเห็นนะคะ ว่าการออกกำลังกายที่ได้ผลดีที่สุดในด้านการเผาผลาญพลังงาน คือการออกกำลังกายที่ไม่หนัก ไม่ได้เน้นที่การเคลื่อนไหวเร็วๆ แต่เน้นที่การเคลื่อนไหวที่ต่อเนื่องของร่างกายหลายๆ ส่วน ใครที่กำลังมองหากิจกรรมเพื่อขจัดเจ้าไขมันส่วนเกิน หรือกำลังวางแผนอยากจะลดน้ำหนัก คงพอจะมองเห็นแนวทางกันบ้างแล้ว และจากข้อมูลที่ได้นำมาฝากกัน คงทำให้หลายๆ คนนึกไปถึงการออกกำลังกายในแบบ HIIT (High Intensity Interval Training) ซึ่งก็คือการแบ่งช่วงการออกกำลังกายออกเป็นช่วงสั้นๆ สลับกันระหว่างการออกกำลังกายในระดับความเร็วสูงสุด และการออกกำลังกายในระดับความเร็วปานกลาง โดยจะทำสลับกันเป็นเซ็ต

ข้อดีของการออกกำลังกายในลักษณะนี้ นอกเหนือจากการได้กระตุ้นการทำงานของหัวใจให้ได้ทำงาน และแข็งแรงขึ้นแล้ว ยังเป็นการเผาผลาญพลังงานที่ให้ผลลัพธ์เต็มที่ ภายในระยะเวลาที่สั้นลง อีกทั้งการออกกำลังกายในแบบ HIIT ยังสามารถใช้ได้กับเครื่องออกกำลังกายประเภทคาร์ดิโอ ทุกประเภทที่มีอยู่ในฟิตเนสและยังสามารถทำได้ด้วยการออกกำลังกายประเภทอื่นๆ เช่นการวิ่ง อีกด้วยค่ะ

เปรียบเทียบการออกกำลังกายในแต่ละประเภทให้ทราบกันแล้ว ขอนำมาฝากกันอีกซักหน่อย กับเรื่องของการทำงานของร่างกายเราค่ะ
การออกกำลังกายในช่วง 15 นาทีแรก ร่างกายจะดึงเอาแหล่งพลังงานหลัก หรือน้ำตาลจากตับ มาใช้ก่อน ส่วนนี้ ยังไม่ได้ช่วยลดน้ำหนัก หรือเผาผลาญพลังงานส่วนเกินแต่อย่างใด เพราะเป็นพลังงานที่ร่างกายมีไว้สำหรับกิจกรรมประจำวันอยู่แล้ว
การออกกำลังกายใน 15 นาทีต่อมา เมื่อร่างกายรู้สึกว่าต้องการพลังงานเพิ่มเติม ก็จะดึงเอาพลังงานในส่วนทีสอง คือแป้ง โดยเปลี่ยนให้อยู่ในรูปของน้ำตาลเพื่อนำมาใช้ โดยยังไม่ได้ดึงเอาไขมันสะสมมาใช้เลย
จนหลังจาก 30 นาทีผ่านไป ร่างกาย จึงจะเริ่มดึงเอาไขมันที่สะสมไว้มาใช้งาน เป็นจุดเริ่มต้นของการเผาผลาญไขมันส่วนเกิน ที่เราเรียกว่า Burn นั่นล่ะค่ะ

สรุปสั้นๆ คือ สำหรับผู้ที่ต้องการที่จะออกกำลังกายเพื่อเผาผลาญไขมันส่วนเกิน จำเป็นต้องออกกำลังกายอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ 30 นาทีขึ้นไป และร่างกายของเราจะยังคงใช้พลังงานต่อไปอีกหลังจากการออกกำลัง โดยใช้เพื่อสร้างกรดบางชนิด สังเกตว่าเราจะยังคงมีเหงื่อออก และมีอุณหภูมิร่างกายที่สูงอยู่อีกซักระยะหนึ่ง

ในช่วงหลังการออกกำลังกายนี่ล่ะค่ะ จึงเป็นเรื่องสำคัญ ที่ไม่ควรดื่มน้ำอัดลม น้ำหวาน ทานขนม หรือน้ำตาลทุกประเภท เพราะจะทำให้ร่างกายรับรู้ว่ามีแหล่งพลังงานหลักให้ดึงกลับมาใช้อีก และเลิกดึงเอาไขมันส่วนเกินมาเผาผลาญ

เอาล่ะค่ะ ได้ข้อมูลกันไปพอสมควรแล้ว เริ่มต้นปีใหม่ปีนี้ มาเริ่มต้นดูแลสุขภาพกันดีกว่า เปลี่ยนชุด หยิยรองเท้า แล้วเตรียมตัวไปออกกำลังกายกันได้เลยค่ะ ^^