ผ่อนคลาย ลดอาการเครียด ด้วยกลิ่นหอมจากธรรมชาติ

aroma
การใช้กลิ่นบำบัดโรค กลิ่นหอม กับการบำบัดโรคต่างๆ มีความเชื่อมโยงกันอย่างไร? อาจเป็นคำถามที่หลายคนสงสัย แต่หากเรารู้จักกับการทำงานของระบบต่างๆ ในร่างกาย เราก็จะพบกับความสัมพันธ์บางอย่างที่เชื่อมโยงและส่งผลถึงกัน เช่น จมูกของเราเป็นอวัยวะที่ไวต่อการรับรู้กลิ่นมาก และการรับกลิ่นนั้นก็ทำโดยระบบประสาทที่เชื่อมโยงกับสมองส่วนที่ควบคุมอารมณ์ต่างๆ ทั้งความรู้สึกสุข ตื่นเต้น หดหู่ รวมไปถึงอารมณ์ทางเพศอีกด้วย กลิ่นจึงมีผลโดยตรงต่อสมองส่วนนี้

ด้วยความสัมพันธ์ของกลิ่น และอารมณ์ กลิ่นบำบัดจึงเหมาะมากสำหรับคนในยุคนี้ที่มีความเสี่ยงสูงต่ออาการป่วยด้วยปัญหาจากความเครียด ทั้งไมเกรน อาการวิตกกังวล ช่วงฮอร์โมนเปลี่ยนแปลงก่อนมีประจำเดือน รวมถึงโรคยอดนิยม อาทิ ความดันโลหิตสูง อาการเกี่ยวกับลำใส้ระคายเคือง ผิวหนังอักเสบ อาการปวดจากการที่กล้ามเนื้อตึงเครียด และอาการที่เกี่ยวกับสภาพทางจิตใจ ทำให้สปาหลายๆ แห่งต่างหยิบเอาเรื่องกลิ่นบำบัดไปใช้เพื่อสร้างความผ่อนคลายทั้งในด้านอารมณ์ และร่างกายให้กับผู้ที่เข้ามาใช้บริการ

วิธีการใช้น้ำมันหอมเพื่อรักษาอาการป่วยต่างๆ นั้น ส่วนสำคัญคือ ผู้ใช้จำเป็นจะต้องทราบถึงประวัติอย่างละเอียดของผู้ที่ต้องการจะทำการบำบัดด้วยกลิ่น โดยอาจใช้คำถามเกี่ยวกับสุขภาพ ชีวิตประจำวัน อาหารการกิน สภาวะความเครียด การนอนหลับพักผ่อน รวมไปถึงอาการป่วย หรือโรคต่างๆ ที่เป็นอยู่ เพื่อให้เข้าใจและเห็นภาพโดยรวม ก่อนจะนำข้อมูลต่างๆ มาวิเคราะห์ เพื่อเลือกใช้น้ำมันหอมระเหยที่เหมาะสมที่สุด การใช้กลิ่นบำบัดนั้นอาจจะใช้กลิ่นเพียงกลิ่นเดียว หรือ ใช้หลายๆ กลิ่นก็เป็นไปได้ โดยจะดูการตอบสนองของผู้ที่มาทำการบำบัดว่าร่างกายตอนสนองต่อกลิ่นนั้นๆ หรือไม่ เพื่อหากลิ่นที่เหมาะสมที่สุดในการบำบัดต่อไป โดยในการใช้กลิ่นบำบัดนั้น ผู้ให้บริการแต่ละราย จะมีรูปแบบ วิธีการบำบัด และการใช้กลิ่นที่แตกต่างกันออกไปค่ะ

โดยทั่วไป การบำบัดด้วยกลิ่นหอมนั้น มักจะประกอบรวมกับการนวด โดยการนวดนั้นจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการบำบัด เนื่องจากจะทำให้กล้ามเนื้อได้ผ่อนคลาย ทำให้รู้สึกมีชีวิตชีวา กระตุ้นการไหลเวียนของเลือดและระบบน้ำเหลือง รวมถึงผ่อนคลายอาการเจ็บปวดอีกด้วย การนวดยังจะช่วยให้ผู้บำบัดทราบว่ากล้ามเนื้อส่วนไหนตึง ส่วนไหนไวต่อความรู้สึก ซึ่งตัวผู้ถูกบำบัดเองมักจะไม่เคยทราบมาก่อน ปกติแล้ว การบำบัดด้วยกลิ่นในระยะเริ่มต้นอาจทำเป็นประจำสัปดาห์ละหนึ่งครั้ง เมื่อได้ทำการบำบัดแล้วสักระยะหนึ่ง ก็อาจลดความถี่ลงเหลือเพียงเดือนละหนึ่งถึงสองครั้ง ทั้งนี้ การใช้กลิ่นบำบัด จะไม่ทำร่วมกับการรักษาแบบโฮมีโอพาธี (Homeopathy เป็นการรักษาแบบทางเลือกอีกแขนงหนึ่ง) เพราะกลิ่นหอมบางชนิดอาจไปรบกวนผลของการใช้ยาแบบโฮมีโอพาธีได้

สำหรับในกรณีที่ไม่มีเวลาไปนวด เรายังคงสามารถใช้กลิ่นบำบัดได้เช่นกันค่ะ เพราะนอกจากการนวดแล้ว การการบำบัดโดยกลิ่นในระดับหนึ่งนั้น สามารถทำได้ง่ายๆ เช่น การหยดน้ำมันหอมลงอ่างอาบน้ำอุ่นๆ ก่อนลงไปแช่และสูดดมกลิ่นหอมในระหว่างการอาบน้ำ การใช้เครื่องพ่นไอน้ำปล่อยกลิ่นหอมในห้องที่เราอยู่ การหยดน้ำมันหอมน้อยๆลงบนผ้าเช็ดหน้า การประคบร้อน ประคบเย็นเพื่อบรรเทาอาการปวด หรือแม้แต่การหยดน้ำมันหอมชนิดที่ไม่ก่อให้เกิดอาการแพ้ลงบนสำลีเพื่อทาผิวที่มีอาการบวมก็สามารถที่จะทำได้ด้วยตัวเอง และสำหรับการเก็บรักษาน้ำมันหอม เนื่องจากน้ำมันหอมมีคุณสมบัติคือสามารถระเหยได้ง่าย ทั้งยังจะเสื่อมสภาพเมื่อโดนความร้อน จึงควรเลือกเก็บในขวดทึบแสง มีฝาปิดสนิท และเก็บไว้ในอุณหภูมิห้อง ซึ่งอาจจะทำให้สามารถน้ำมันหอมเก็บไว้ได้นานถึง 1 ปีโดยไม่สูญเสียคุณสมบัติสำคัญ อย่างไรก็ตาม น้ำมันหอมบางชนิด เช่น น้ำมันจากกลิ่นส้ม เลมอน มะนาว หรือผิวส้ม จะเสื่อมคุณภาพเร็วกว่าน้ำมันทั่วไป อาจเก็บไว้ได้ไม่เกิน 6 เดือนค่ะ

สำหรับผู้ที่เริ่มสนใจ อยากจะลองหากลิ่นหอมๆ มาช่วยผ่อนคลาย มาดูกันค่ะ ว่ากลิ่นอะไร มีคุณสมบัติที่โดดเด่นอะไรกันบ้าง…
กลิ่นลาเวนเดอร์ ช่วยให้นอนหลับง่าย ปรับอารมณ์ และทำให้จิตใจสงบ
กลิ่นตะไคร้หอม ช่วยบรรเทาอาการหวัด ปวดศีรษะ ลดไข้ และผ่อนคลายกล้ามเนื้อ
กลิ่นเปปเปอร์มินต์ ช่วยให้สดชื่น แจ่มใส ปลอดโปร่ง กระตุ้นจินตนาการ และความคิดสร้างสรรค์
กลิ่นเลมอน นอกจากทำให้สดชื่น สดใส แล้ว หากใช้นวด ก็จะช่วยในเรื่องการไหลเวียนของโลหิตอีกด้วย
กลิ่นส้ม ช่วยเติมความสดชื่น ผ่อนคลาย และกระตุ้นการเผาผลาญพลังงานของร่างกาย
กลิ่นโรสแมรี่ ทำให้สดชื่น สดใส และลดอาการของไมเกรน
กลิ่นยูคาลิปตัส ช่วยให้หายใจโล่ง ปลอดโปร่ง และบรรเทาอาการอ่อนล้าที่สะสมมา และกลิ่นสุดท้าย
กลิ่นมะลิ นอกจากความหอมละมุนแล้ว กลิ่นอ่อนๆ ของดอกมะลิ ยังจะช่วยเติมความสดชื่น สดใส ช่วยให้อารมณ์ดี กระตุ้นการมองโลกในด้านบวก รวมถึงมีผลต่ออารมณ์โรแมนติกกันอีกด้วยค่ะ

เอาล่ะค่ะ ได้ทราบกันไปแล้วกับเรื่องราวหอมๆ ที่ได้นำมาฝากกัน วันนี้อย่าลืมหากลิ่นหอมๆ ในแบบที่ชอบ มาเติมความสดชื่น บำบัดอารมณ์ และผ่อนคลายไปด้วยกันนะคะ ^^

สุขภาพดี ด้วยโยคะ

yoga.jpg
ใครที่ไม่เคยฝึกโยคะ อาจจะนึกไม่ออกว่าโยคะ นอกจากจะเป็นการฝึกสมาธิ ให้การผ่อนคลายทางจิตใจได้เป็นอย่างดีแล้ว ยังช่วยให้กล้ามเนื้อมีความยืดหยุ่น และมีความแข็งแรงจากภายในได้อย่างไม่น่าเชื่อเลยล่ะค่ะ
สำหรับใครที่เริ่มจะสนใจ แต่ยังไม่มีโอกาสได้ไปลงคอร์สฝึกโยคะที่ไหน วันนี้ เรามีท่าบริหารร่างกายในแบบโยคะ สำหรับฝึกในช่วงเช้า และใช้เวลาแค่สั้นๆ มาฝากกัน รับประกันว่าไม่ยากจริงๆ ลองไปดูกันทีละขั้นตอนเลยค่ะ

ท่าที่ 1

นอนเหยียดตัว นำมือสองข้างมาประสานกัน เหยียดปลายเท้าให้สุด พร้อมๆ กับเหยียดมือขึ้นเหนือศีรษะ ค้างไว้ประมาณ 5 ลมหายใจ
จากนั้น งอเข่าทั้งสองข้างเข้าหาตัว นำมือมาประสานกัน กอดเข่าทั้งสองข้าง แล้วขยับซ้าย-ขวา ช้าๆ ประมาณ 5 ครั้ง เพื่อให้ร่างกายได้ยืดคลายก่อนเข้าสู่ท่าฝึกท่าต่อไป

ท่าที่ 2
ยืดขาซ้ายออก ในขณะที่เข่าขวายังคงงออยู่ ใช้มือประสานกันรอบเข่าขวา แล้วหมุนเป็นวงช้าๆ ประมาณ 5 รอบ – ทำซ้ำกับขาซ้ายในลักษณะเดียวกัน

ท่าที่ 3
นอนตัวตรง งอเข่าทั้งสอง แล้วนำขาขวา พาดกับขาซ้าย จากนั้น ใช้มือขวาสอดเข้าระหว่างขาทั้งสอง และนำมือซ้าย อ้อมขาซ้าย ประสานกับมือขวา พร้อมกับหายใจเข้า
จากนั้น ค่อยๆ ผ่อนลมหายใจออก พร้อมๆ กับดึงขาเข้าหาตัว
ค้างไว้ แล้วคลายกลับสู่ท่าเดิมพร้อมกับหายใจเข้า
ทำ 5 รอบ ก่อนสลับไปทำในด้านซ้าย ในลักษณะเดียวกัน

ท่าที่ 4
นอนกางแขนออกทั้งสองข้าง งอเข่าทั้งสองเข้าหาลำตัว บิดขาที่งอ พับไปด้านขวา พร้อมกับหันศีรษะไปในด้านตรงข้าม ค้างไว้ 5 ลมหายใจ ก่อนสลับ พับขาไปด้านซ้าย พร้อมกับหันหน้าในด้านตรงข้าม และค้างไว้ 5 ลมหายใจ

จากนั้น กลับสู่ท่านอนหงาย งอเข่าทั้งสองข้าง กอดเข่าทั้งสองข้าง แล้วโยกตัวเบาๆ ขึ้นมาอยู่ในท่านั่ง

ท่าที่ 5
อยู่ในท่านั่ง – หายใจเข้า พร้อมกับยกมือซ้ายขึ้นจนสุด จากนั้น ผ่อนลมหายใจออก พร้อมกับเอียงตัวไปด้านขวา ให้แขนอยู่ด้านข้างศีรษะ ใช้มือขวาแตะพื้นประคองไว้ เอียงตัวจนรู้สึกตึง แล้วค้างไว้ 5 ลมหายใจ จากนั้น หายใจเข้าพร้อมกับกลับสู่ท่าเริ่มต้น และทำให้ด้านตรงข้ามในลักษณะเดียวกัน

ท่าที่ 6
อยู่ในท่านั่ง – หายใจเข้าพร้อมกับยกมือทั้งสองขึ้นเหนือศีรษะ ผ่อนลมหายใจช้าๆ พร้อมกับหมุนตัวไปด้านขวา ลดมือลง ใช้มือซ้ายแตะที่เข่าขวา และนำมือขวาแตะที่พื้น ค้างไว้ 5 ลมหายใจ ก่อนกลับสู่ท่าเริ่มต้น และทำซ้ำในด้านตรงข้าม

เท่านี้ เป็นอันเรียบร้อย
รับประกันเลยค่ะ ว่าถ้าให้เวลาซัก 5-10 นาที ในช่วงเช้าของแต่ละวัน ฝึกโยคะง่ายๆ ประมาณนี้ ร่างกายก็สดชื่น กระปรี้ กระเปร่า แถมยังช่วยให้จิตใจโปร่ง โล่งสบาย พร้อมที่จะลุยกับงานกองโตที่รออยู่อย่างแน่นอนค่ะ อย่าลืมนำไปฝึกกันนะคะ

ขยับซักนิด พิชิต Office Syndrome

work


หลังจากที่เราได้นำเนื้อหาเกี่ยวกับ Office Syndrome มาฝากกันไปแล้ว
วันนี้ มาต่อกันอีกซักหน่อย กับท่าบริหาร การขยับร่างกายง่ายๆ เพื่อป้องกันอาการของโรค Office Syndrome ค่ะ

ท่าที่ 1 แก้อาการหายใจไม่อิ่ม หายใจได้ไม่สุด
ร่างกายของเราต้องการอากาศบริสุทธิ์ในการหล่อเลี้ยงส่วนต่างๆ ของร่างกายโดยเฉพาะสมอง การบริหารปอดจึงเป็นสิ่งสำคัญที่จะช่วยให้การขยายตัวของปอดดีขึ้น ออกซิเจนเข้าสู่ร่างกายได้ดีขึ้น ช่วยผ่อนคลายกล้ามเนื้อด้านข้างลำตัว ยืดกล้ามเนื้อหัวไหล่ และป้องกันโรคไหล่ติด
วิธีการออกกำลังกาย
1 นั่งเก้าอี้ที่มีพนักพิง เลื่อนก้นให้ชิดพนัก
2 แขนซ้ายเหยียด-ยืดแขนให้สุดด้านเหนือศีรษะ แขม่วท้อง หายใจโดยใช้ชายโครงกางออก
3 มือขวาเอื้อมมาจับขอบด้านซ้ายของเบาะที่นั่งเก้าอี้
4 ในขณะที่ทำให้เกร็งกล้ามเนื้อหน้าท้องไว้ตลอดเพื่อไม่ให้หลังแอ่น
5 หายใจเข้าลึก หายใจออกเป่าลมออกทางปากเบาๆ พร้อมๆ กับเอียงตัวด้านขวา และหมุนตัวมาด้านซ้ายเล็กน้อยจนรู้สึกตึงมากที่สุด
6 หายใจเข้าทางจมูก เป่าลมออกทางปากเบาๆ หนึ่งรอบ แล้วค่อยดึงตัวกลับ
7 สลับกันทั้งสองข้าง ทำซ้ำ 5 ครั้ง วันละ 3 รอบ

ท่าที่ 2 ยืดกล้ามเนื้อสะโพกมัดลึก
กล้ามเนื้อที่เป็นทางผ่านของเส้นประสาท การยืดกล้ามเนื้อที่ไปเลี้ยงขาจะช่วยแก้อาการของคนที่ปวดก้นและร้าวลงขาได้เป็นอย่างดี นอกจากนั้นยังช่วยบรรเทาอาการของผู้มีอาการปวดหลังอันเนื่องมาจากหมอนรองกระดูกแคบซึ่งมักมีอาการปวดร้าวลงขา ช่วยกระตุ้นการไหลเวียนของเส้นประสาทที่ไปเลี้ยงขาทำให้สบายตลอดทั้งขา
วิธีการออกกำลังกาย
1 นั่งกับพื้น งอเข่าด้านซ้ายเข้าหาตัว และเปิดฝ่าเท้าขึ้น ยกขาซ้ายทับขาขวา โดยอ้อมฝ่าเท้าไปที่ด้านข้างของสะโพกด้านขวา
2 งอเข่าด้านขวาเข้าหาตัว หงายฝ่าเท้าขึ้น อ้อมไปด้านข้างของสะโพกซ้าย
3 โน้มลำตัวลงไปด้านหน้า เหยียดแขนให้สุดจนรู้สึกตึงมากที่สุดโดยไม่เจ็บ ขณะที่ยืดลำตัวให้แขม่วท้องค้างไว้
4 หายใจเข้าลึกๆทางจมูก เป่าลมออกทางปากเบาๆ พร้อมกับยืดอก และแอ่นหลังขึ้น ในขณะที่มือวางแนบพื้นอยู่ที่เดิม
5 หายใจเข้าลึกๆ ทางจมูกและเป่าลมออกเบาๆ ทางปาก 2 ลมหายใจ แล้วค่อยดันตัวขึ้นท่านั่งหลังตรง ทำ 5 ครั้ง แล้วสลับข้าง

ท่าที่ 3 ยืดกล้ามเนื้อหลังต้นขา
การนั่งอยู่กับที่นานๆ อาจจะทำให้เกิดอาการเมื่อยล้า หากเป็นหนักขึ้นก็อาจจะมีอาการปวดร้าวลงขาได้ การออกกำลังกายในแบบการยืดกล้ามเนื้อจะช่วยคลายเยื่อหุ้มกล้ามเนื้อ กล้ามเนื้อ และเส้นประสาทของขาตลอดทั้งแนว สร้างกำลังกล้ามเนื้อต้นขาด้านหน้า ช่วยพยุงข้อเข่า ป้องกันอาการเข่าเสื่อมได้
วิธีการออกกำลังกาย
1 นั่งกับพื้น ขาซ้ายเหยียดเข่าตรงไปด้านหน้า ขาขวางอเข้าหาตัว ฝ่าเท้าขวาวางประคบไว้ที่ต้นขาด้านในของข้างซ้าย
2 งอเข่าด้านซ้ายขึ้นเล็กน้อย ร่วมกับกระดกฝ่าเท้าเข้าหาตัว ปลายนิ้วเท้าชี้ขึ้นด้านบน
3 โน้มตัวไปด้านหน้าจนรู้สึกตึงมาก พร้อมกับเหยียดแขนให้สุด วางฝ่ามือแนบกับพื้น
4 แอ่นหลังขึ้นให้รู้สึกตึง ในขณะที่ฝ่ามือวางตำแหน่งเดิม ลงน้ำหนักที่ก้นสองข้างเท่ากัน
5 หายใจเข้า เป่าลมออกทางปากเบาๆ พร้อมกับเหยียดเข่าออกให้รู้สึกตึงมาก แต่ไม่เจ็บ ในขณะที่ยังคงแอ่นหลัง และกระดกฝ่าเท้าอยู่
6 ค้างไว้ 2 ลมหายใจ และค่อยๆ ดึงตัวกลับในท่านั้งตรง และปล่อยขาให้สบาย
7 ทำข้างละ 5 ครั้ง แล้วสลับข้าง ทำวันละ 3 รอบ

ท่าที่ 4 สร้างความมั่นคงให้กระดูกสันหลังรอบด้าน สร้างความแข็งแรงของกล้ามเนื้ออุ้งเชิงกราน และต้นขาด้านใน
บุคลิกภาพในการยืน เดิน หรือนั่งแบบหลังแอ่นๆ นั่นอาจทำให้เกิดอาการปวดตามมาในอีกหลายๆ ส่วน การออกกำลังกายในท่านี้จึงช่วยปรับให้หลังที่แอ่นนั้นกลับคืนมาในแนวโค้งปกติ นอกจากนั้นยังช่วยกระชับกล้ามเนื้อหูรูด กระชับกล้ามเนื้อต้นขาด้านใน ทำให้ขาเล็กเรียวได้รูปสวย และเป็นท่าที่สร้างความมั่นคงให้กระดูกสันหลัง ป้องกันอาการปวดหลัง ทำให้หน้าท้องกระชับ
วิธีการออกกำลังกาย
1 นอนหงาย เหยียดขาตรงทั้งสองข้าง ดันลำตัวขึ้น ตั้งศอกเพื่อพยุงลำตัวไว้
2 เก็บคางและดันศีรษะลงเล็กน้อย แขม่วท้องและเกร็งกล้ามเนื้อก้นค้างไว้
3 กระดกปลายเท้าซ้ายขึ้น พร้อมกับลอยขาซ้ายขึ้นตรงๆ ทั้งแนว
4 หันปลายนิ้วเท้าออกด้านข้างพร้อม กางขาออกประมาณ 45 องศา (ในขณะที่แขม่วท้องและเกร็งกล้ามเนื้อก้นอยู่ สะโพกนิ่งอยู่กับที่)
5 แล้ววาดเท้าเป็นครึ่งวงกลม ดึงกลับที่เดิมโดยที่เท้าไม่แตะพื้น กางขาออกทำซ้ำ อย่างช้า ๆ ข้างละ 5 รอบ ทำวันละ 3 ครั้ง

4 ท่าบริหาร ที่แนะนำให้ทำเป็นประจำทุกๆ วัน ให้เวลาซักหน่อยกับการดูแลสุขภาพ จะได้มั่นใจ ว่าอยู่ไกลจาก Office Syndrome ค่ะ ^^

แตงกวา กับคุณค่าที่มากกว่าสารอาหาร

แตง.jpg
‘แตงกวา’ ผักธรรมดาๆ ที่เห็นกันเป็นประจำในแทบทุกมื้ออาหาร ผักชิ้นเล็กๆ ที่หลายคนมักจะเขี่ยไว้ข้างๆ โดยไม่เห็นถึงคุณค่า
วันนี้ เรามาดูกันซักหน่อยค่ะ ว่าเจ้าผักธรรมดาๆ ชนิดนี้ แอบซ่อนประโยชน์อะไรเอาไว้บ้าง และมากมายขนาดไหน
คุณค่าของแตงกวา อยู่ที่สองส่วนหลักๆ เลยค่ะ

ส่วนแรก มาจากสารอาหาร วิตามิน และแร่ธาตุ หลากหลายชนิดในแตงกวา ที่ช่วยให้ร่างกายแข็งแรง และช่วยเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย นอกจากนั้น แตงกวายังมีสารประกอบ ที่ช่วยลดคอเลสเตอรอล และมีฮอร์โมนที่เซลล์ตับอ่อนใช้ในการผลิตอินซูลิน ซึ่งเป็นประโยชน์ต่อผู้ป่วยที่เป็นโรคเบาหวานอีกด้วย ประโยชน์ของแตงกวายังรวมถึงการที่แตงกวามีไฟเบอร์ โพแทสเซียม และแมกนีเซียม ในปริมาณที่สูง จึงเป็นผักที่เป็นประโยชน์สำหรับผู้ป่วยที่มีปัญหาด้านความดันโลหิต ทั้งความดันสูง และความดันต่ำ เพราะแร่ธาตุดังกล่าวจะเป็นส่วนช่วยในการควบคุมความดันโลหิตให้เป็นปกติค่ะ

ส่วนที่สอง คือการที่แตงกวามีองค์ประกอบของน้ำในปริมาณที่มากถึง 90% ทำให้แตงกวาจัดอยู่ในอาหารที่ลดความร้อน และช่วยเพิ่มความสดชื่นได้เป็นอย่างดีโดยเฉพาะสำหรับผู้ที่มีอาการขาดน้ำ อีกทั้ง น้ำในแตงกวา ยังมีคุณสมบัติช่วยล้างสารพิษในร่างกายได้อีกด้วย

นอกเหนือจากที่ได้กล่าวมา ยังมีงานวิจัยหลายชิ้น ที่ยืนยันถึงประโยชน์ของแตงกวา ว่าการทานแตงกวาในปริมาณที่เพียงพอ จะช่วยลดความเสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งเต้านม มะเร็งรังไข่ และมะเร็งต่อมลูกหมากอีกด้วย

ทราบกันถึงประโยชน์ของแตงกวาต่อสุขภาพกันแล้ว เชื่อหรือไม่คะ ว่าสำหรับสาวๆ แล้ว แตงกวา ยังสามารถนำไปใช้ในด้านความงามกันได้อีกมากมายเลย ลองมาดูสูตรความงามง่ายๆ จากแตงกวากันซักหน่อยดีกว่าค่ะ

สูตรแรก สาวๆ คงจะคุ้นเคยกันอยู่แล้ว คือการใช้แตงกวา ล้างให้สะอาด ฝานเป็นแว่นบางๆ วางไว้ที่ดวงตาทั้งสองข้าง เอนไซม์ในแตงกวาจะทำหน้าที่ย่อยเซลล์ที่ตายแล้ว ทั้งยังช่วยเพิ่มความชุ่มชื่นให้กับผิวรอบดวงตา ลดริ้วรอย และลดอาการเกร็งของกล้ามเนื้อ

สูตรที่สอง ใช้แตงกวา 2-3 ลูก ล้างสะอาด ปั่นให้ละเอียด แล้วนำมาผสมกับไข่ขาวดิบที่ตีจนฟู 1 ฟอง และน้ำมะนาว 1 ช้อนชา ผสมรวมเป็นเนื้อเดียวกัน แล้วนำมาพอกหน้า ทิ้งไว้ประมาณ 10-15 นาที ก่อนล้างออกด้วยน้ำสะอาด จะช่วยลดความมันบนใบหน้า กำจัดสิวเสี้ยน และทำให้ผิวหน้าเกลี้ยงเกลาขึ้นค่ะ

สูตรที่สาม ใช้แตงกวา 2-3 ลูก ล้างสะอาด ผสมกับน้ำผึ้ง 1/4 ถ้วย ปั่นให้ละเอียด แล้วนำมาพอกหน้า ทิ้งไว้ประมาณ 10-15 นาที ก่อนล้างออกด้วยน้ำสะอาด สูตรนี้ สำหรับผู้ที่มีผิวแห้ง สามารถทำได้ทุกวันก่อนนอน นอกจากจะช่วยให้ผิวชุ่มชิ้น เปล่งปลั่งแล้ว ยังช่วยให้ผิวหน้านุ่ม และมีความยืดหยุ่นขึ้นอีกด้วยค่ะ

ได้ทราบถึงประโยชน์มากมายของแตงกวากันไปแล้ว ทั้งประโยชน์ที่มีต่อสุขภาพ กับทั้งอีกหลายวิธีที่จะนำไปใช้ในด้านความงาม ถึงเวลาหาซื้อแตงกวามาประจำการในตู้เย็นกันแล้วล่ะค่ะ ^^