ของทอด เรื่องควรระวังที่มากกว่าความอ้วน



หนึ่งในอาหารจานโปรดของหลายๆ คน คงหนีไม่พ้นเมนูของทอด ไม่ว่าจะเป็น ปลา ไก่ หมู เนื้อ หรือแม้แต่เมนูชุบแป้งทอดต่างๆ และในขณะที่เราทุกคนก็ทราบกันดี ว่าการทานเมนูของทอดเป็นประจำ นอกจากจะให้พลังงาน และไขมันที่มากเกินความจำเป็นของร่างกายแล้ว ยังมีความเสี่ยงจากการใช้น้ำมันทอดซ้ำๆ ที่อาจเกิดผล สะสม และเป็นอันตรายต่อสุขภาพได้อีกด้วย

วันนี้ มาดูกันซักหน่อย ว่าน้ำมันทอดที่ใช้ซ้ำๆ จะส่งผลเสียกับร่างกายได้อย่างไรบ้าง และเรามีวิธีหลีกเลี่ยงได้อย่างไรบ้าง ถ้าใจยังอยากจะทานของทอดกันอยู่

งานวิจัยหลายๆ ชิ้นยืนยันว่า น้ำมันที่ผ่านการทอดอาหารซ้ำนานเกินไปจะมีคุณค่าทางโภชนาการลดลง และยังทำให้หนูทดลองมีการเจริญเติบโตลดลง ตับและไตมีขนาดใหญ่ขึ้น มีการสะสมไขมันในตับ มีการหลั่งน้ำย่อยทำลายสารพิษในกระเพาะอาหารเพิ่มขึ้น และนอกจากนั้น ไขมันที่ถูกออกซิไดซ์ปริมาณสูงอาจทำให้ไลโปโปรตีนชนิดแอลดีแอลมีโอกาสเกิดอนุมูลอิสระมากขึ้น จึงมีโอกาสเสี่ยงต่อการเกิดโรคหัวใจและหลอดเลือดได้ ขณะเดียวกัน การนำน้ำมันมาทอดซ้ำหลายครั้งจะทำให้เกิดสารโพลาร์ ซึ่งสารนี้มีฤทธิ์ต่อการกลายพันธุ์ คือทำให้เซลล์ดีกลายเป็นเซลล์มะเร็งได้ ไม่ว่าจะเป็นมะเร็งปอด มะเร็งตับ มะเร็งกระเพาะปัสสาวะ ฯลฯ ดังนั้น กระทรวงสาธารณสุขจึงกำหนดมาตรฐานให้ร้านค้าใช้น้ำมันทอดซ้ำที่มีสารโพลาร์ได้ไม่เกินร้อยละ 25 ต่อน้ำหนักน้ำมันที่ใช้เท่านั้น (หรือ 25 กรัม ต่อน้ำมัน 100 กรัม) เพื่อไม่ให้เป็นอันตรายต่อสุขภาพของผู้บริโภค

แต่แม้จะรู้ว่าของทอด โดยเฉพาะการใช้น้ำมันทอดซ้ำๆ จะเป็นผลเสียต่อสุขภาพในหลายทาง แต่หลายๆ ครั้งเราก็คงอดใจไม่ได้ กับความหอม กรอบ น่าอร่อยของเมนูของทอดที่อยู่ข้างหน้า ถ้าใครอดใจไม่ไหวกันจริงๆ อย่างน้อย ลองมาสังเกตกันซักหน่อย ว่าน้ำมันที่ทอดของอร่อยข้างหน้านั้นถูกใช้ซ้ำมามาก หรือเปลี่ยนสภาพไปหรือยัง ลองหลีกเลี่ยง ร้านค้าที่ใช้น้ำมันทอดที่มีลักษณะแบบนี้ค่ะ

1. หลีกเลี่ยงทานทานของทอด ที่ใช้น้ำมันที่มีกลิ่นเหม็นหืน เหนียวสีดำคล้ำ ฟองมาก เหม็นไหม้ โดยน้ำมันที่ใหม่ควรจะมีสีเหลืองใส ไม่ดำคล้ำ
2. สังเกตว่าเวลาทอดอาหารมีควันขึ้นมากหรือไม่ หากร้านใดทอดอาหารแล้วมีควันมาก แสดงว่าน้ำมันใช้มานาน ไม่ควรซื้อค่ะ และ
3. หลีกเลี่ยงอาหารที่ทอดด้วยความร้อนสูงมาก ๆ หรืออาหารที่ทอดในน้ำมันเดือดพล่าน เพราะอาหารพวกนี้จะทำให้น้ำมันเสื่อมสภาพเร็ว อาจทำให้คนขายไม่ค่อยเปลี่ยนน้ำมันที่ใช้ นอกจากนี้ อาหารจะอมน้ำมันมาก ๆ สังเกตได้ว่าทานแล้วจะรู้สึกระคายคอค่ะ

ได้วิธีสังเกตน้ำมันกันไปแล้ว ใครที่ชอบของทอดจนอดใจไว้ไม่ได้ อย่างน้อยลองเลือกดูร้านที่ใช้น้ำมันใหม่ๆ ถึงแม้ว่าอาจจะยอมได้รับไขมันมาเพิ่มน้ำหนักกันมากขึ้นอีกนิด แต่ก็พอจะหลีกเลี่ยงสารอันตรายจากน้ำมันที่ใช้ซ้ำๆ ได้บ้างนะคะ ^^

เล็บสวยสุขภาพดี ดูแลได้

nail

วันนี้ มาว่ากันถึงเคล็ดลับการดูแลรักษาเล็บให้สะอาด สวยได้รูป พร้อมสำหรับการเติมแต่งด้วยสีสันและดีไซน์เก๋ๆ ให้แมทช์กับชุดทำงาน หรือแม้แต่ธีมงานปาร์ตี้ในยามค่ำคืนกันซักหน่อยค่ะ

เคล็ดลับการดูแลเล็บให้สะอาดแข็งแรง
การดูแลเล็บมือ และเล็บเท้า ความสะอาดสำคัญที่สุดค่ะ วิธีทำความสะอาดเล็บที่ดี คือการใช้แปรงขนนุ่มพร้อมสบู่อ่อนๆ ถูบนเล็บ จุดที่สำคัญที่สุดคือใต้เล็บค่ะ บริเวณนี้ซุกเชื้อโรคเอาไว้เยอะที่สุด แปรงเบาๆ แล้วล้างด้วยน้ำอุ่นๆ
ที่สำคัญ ควรเล็บมือทุกสัปดาห์ ส่วนเล็บเท้า 2 สัปดาห์ครั้ง เวลาตัดไม่ต้องตัดให้ชิดผิวหนังมากไปนะคะ อาจจะทำให้เป็นแผลได้ และอย่าตัดให้เล็บโค้งมากเกินไปด้วย เพราะจะทำให้เกิดอาการเล็บขบเจ็บจี๊ดได้ง่ายๆ ค่ะ
การบำรุงเล็บด้วยวิตามิน เล็บต้องการโปรตีน วิตามิน A , C , E รวมทั้งสังกะสี อย่าลืมเลือกอาหารที่ให้คุณค่าสำหรับเล็บกันด้วย และสุดท้าย การบำรุงเล็บด้วยโลชั่น ใช้โลชั่นที่สาวๆ ใช้ทามือนั่นล่ะค่ะ ให้ประโยชน์กับเล็บด้วยเช่นกัน นอกจากความชุ่มชื่นและการบำรุงเล็บแล้ว โลชั่นยังจะช่วยปกป้องเล็บจากสารเคมีต่างๆ เช่น สบู่ แชมพู ผงซักฟอก ได้อีกด้วย เวลาทาโลชั่นสาวๆ อาจเพิ่มการนวดเล็บสัก 3- 5 นาทีเพื่อกระตุ้นให้เลือดไหลเวียน เล็บก็จะสวยและแข็งแรงค่ะ

วิธีทาเล็บให้สวยทน สวยนาน
ทาเล็บทั้งที สาวๆ ก็คงอยากจะให้ลวดลายสวยๆ อยู่ติดเล็บไปนานๆ เรามาดูกันดีกว่าค่ะว่า จะยืดเวลาความสวยกันได้อย่างไรบ้าง เริ่มด้วยการหาอ่างน้ำใบเล็กๆเติมน้ำอุ่น บีบมะนาวลงไปซักหน่อย แล้วแช่มือสวยๆ ไว้สักครู่ แค่นี้เล็บก็จะนิ่ม มือก็จะนุ่มขึ้นแล้วล่ะค่ะ สำหรับขั้นตอนก่อนทาเล็บ ให้ทา Base Coat ก่อน เพราะ Base Coat จะช่วยเคลือบผิวเล็บไม่ให้สัมผัสกับสารเคมีจากยาทาเล็บมากเกินไป เล็บจะได้ไม่เหลือง และควรเลือกยาทาเล็บที่ไม่มี Acetone แอลกอฮอล์ที่จะมาทำร้ายเล็บสวยๆค่ะ

เพิ่มเคล็ดลับการทาเล็บให้อีกนิดสำหรับสาวๆ ที่ทาเล็บเอง ไม่ควรป้ายเกิน 3 ครั้ง เพราะสีจะแห้งยาก เป็นรอยง่ายเนื่องจากสีชั้นในไม่แห้งสนิท วิธีทาเล็บก็เริ่มจากตรงกลาง-ซ้าย-ขวา และเมื่อทาเล็บเสร็จแล้ว อย่าลืมปกป้องเล็บจากแสงแดดด้วยการทาน้ำยาเคลือบเล็บ หรือ Top Coat อีกชั้นด้วยนะคะ

สังเกตซักนิด เล็บบอกโรค
สาวๆ ดูแลเล็บจนสะอาด สวยงามด้วยการตกแต่งอย่างประณีตแล้ว อย่าลืมสังเกตเล็บกันซักนิด มีเรื่องราวของสุขภาพจากภายในซ่อนอยู่ในนั้นด้วย อย่างกรณีที่เล็บเป็นปุ่ม งุ้มมากผิดปกติ สีซีด ก็ควรระวังเกี่ยวกับเรื่องโรคหัวใจและโรคปอดเรื้อรัง ส่วนเล็บที่มีสีต่างกันมาก ส่วนที่ติดกับโพรงจมูกจะมีสีขาว ส่วนปลายเล็บมีสีปกติ ส่วนหนึ่งมาจากการที่ใต้ฐานเล็บบวม ควรระวังโรคไต และเล็บที่มีจุดสีดำ หรือแถบสีดำ ต้องระวังโรคมะเร็งผิวหนังชนิดเมลาโนมา (melanoma) ค่ะ

รู้วิธีดูแลเล็บกันแล้ว ลองเอาไปใช้กันนะคะ สาวๆ อย่างเรานิยมความสวยแบบสมบูรณ์แบบ จุดเล็กจุดน้อยแค่ไหน เราก็ไม่ละเลยค่ะ

แก้ปัญหาปวดเข่าแบบลงลึก ตอนที่ 2

ครั้งก่อน คุณหมอภาริศ วงศ์แพทย์ได้มาให้ความรู้เกี่ยวกับการฟื้นฟูกล้ามเนื้อรอบหัวเข่ากันไปแล้ว วันนี้เรามาต่อกันด้วยการป้องกันไม่ให้กล้ามเนื้อหัวเข่าบาดเจ็บกันค่ะ

ความสำคัญของการป้องกันการบาดเจ็บ
ผู้ที่ยังไม่มีอาการบาดเจ็บ ก็ควรคำนึงถึงการป้องกันการบาดเจ็บเอ็นข้อเข่า ซึ่งได้มีการพิสูจน์มาแล้วว่า การฝึกฝนตามโปรแกรมที่เหมาะสม ตัวอย่างเช่นโปรแกรมที่เรียกว่า the eleven plus ของ FIFA ซึ่งได้รับถ่ายทอดมาจากสมาคมฟุตบอลเยอรมันมาอีกทอดหนึ่งนั้น ได้ผลดีมากในการลดอาการบาดเจ็บของนักกีฬาหญิง เพราะเป็นที่ทราบดีว่าผู้หญิงจะมีอาการเอ็นเข่าฉีกขาดได้ง่ายเวลาเล่นกีฬา ทั้งนี้โปรแกรม the eleven plus เหมาะกับนักกีฬาเท่านั้น ถ้าเป็นผู้ที่มีปัญหาปวดเข่าอยู่แล้ว หรือว่าเป็นผู้ที่ไม่เคยได้ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอมาก่อน อาจมีความพร้อมไม่เพียงพอในการฝึกและอาจได้รับบาดเจ็บจากการพยายามฝึกฝนได้

สำหรับผู้ที่ไม่ได้เล่นกีฬาเป็นประจำแต่ต้องการเสริมสร้างความมั่นคงของกล้ามเนื้อรอบข้อเข่า ท่าที่ควรฝึกคือท่าย่อเหยียด ที่เรียกว่าท่า squat นั่นเอง มีข้อสำคัญคือ จะต้องรักษาแนวสัมพัทธ์ของข้อเท้า ข้อเข่า และข้อสะโพก ให้อยู่ในแนวตรงกันตลอดเวลาที่ทำการย่อเหยียด ไม่มีลักษณะบิดอันจะทำให้เกิดการสึกหรอและปวดข้อเข่าได้ระหว่างการฝึก จะต้องมีการรักษาแนวโค้งของกระดูกสันหลังให้อยู่ในลักษณะโค้งแอ่นเล็กน้อย ที่เรียกว่าเป็นโค้งธรรมชาติของกระดูกสันหลังส่วนบั้นเอว และควรมีการรักษาให้กระดูกเชิงกรานมีการคว่ำตัวมาด้านหน้าเล็กน้อยตลอดเวลาด้วย
การฝึกเช่นนี้จะสร้างความแข็งแรงให้กับกล้ามเนื้อขา กล้ามเนื้อหลัง และลดความเสี่ยงต่อการบาดเจ็บขณะเดิน ในขณะเคลื่อนไหว หรือในขณะยกของ

สำหรับท่านที่สนใจการออกกำลังกายเพื่อการฟื้นฟูสภาพตัวเอง หรืออ่านคำแนะนำแล้วยังไม่แน่ใจ สามารถเข้าไปดูวิดิโอคลิปที่ยูทูปได้ โดยการเสิร์ชด้วยคีย์เวิร์ด DBC spine clinic ในช่องเสิร์ชของยูทูปก็จะพบวิดิโอท่าบริหารร่างกายลดอาการปวด และเพิ่มความมั่นคงของข้อต่อต่างๆ

สรุปได้ว่า ข้อเข่าเป็นข้อที่ต้องอาศัยกล้ามเนื้อเพื่อช่วยประคับประคองความมั่นคง เมื่อได้รับการบาดเจ็บก็ควรที่จะต้องเสริมสร้างกล้ามเนื้อให้มีความแข็งแรงและมีการทำงานที่ถูกต้องกับจังหวะเวลาเพื่อประคับประคองข้อเข่า เรียกว่าเป็นการฟื้นฟูข้อเข่า ซึ่งจำเป็นต้องทำทั้งในผู้ที่เป็นนักกีฬาและไม่ใช่นักกีฬา ต่างกันแค่เพียงระดับความเข้มข้นในการฝึกเท่านั้น ส่วนผู้ที่ยังไม่มีอาการบาดเจ็บ ก็ควรจะพิจารณาถึงการเสริมสร้างสมรรถนะของกล้ามเนื้อรอบข้อเข่าเพื่อป้องกันการบาดเจ็บเช่นกันค่ะ

ได้รับความรู้ดีๆ เกี่ยวกับการดูแลกล้ามเนื้อรอบๆ เข่ากันไปแล้ว ถ้าใครมีคำถามเพิ่มเติมเกี่ยวกับอาการปวดกล้ามเนื้อส่วนต่างๆ สามารถสอบถามเข้ามาได้นะคะ Life Center ยินดีเป็นสื่อกลางในการนำเสนอข้อมูลความรู้ดีๆ สำหรับทุกๆ ท่านค่ะ

สำหรับวันนี้ ขอบคุณข้อมูลดีๆ จาก DBC Spine Clinic & Gym ชั้น 2 Life Center #QHouseLumpini ค่ะ

ฮอร์โมน กับเรื่องสวยๆ ของสาวๆ

hormone
จะผิวสวยเด้งเต่งตึง ผิวหมองใบหน้าไม่ผ่องใส พุงออก อารมณ์หดหู่ สมองล้า สั่งงานช้า เรื่องเหล่านี้ล้วนเกี่ยวกับฮอร์โมนในร่างกายของเราทั้งนั้นเลยค่ะ วันนี้เราลองมาทำความรู้จักฮอร์โมนในร่างกายของเราให้มากขึ้นกันอีกซักนิด เพื่อทำความเข้าใจกับการเปลี่ยนแปลงของร่างกายให้มากขึ้นดีกว่าค่ะ
ฮอร์โมน คือ สารเคมีที่ร่างกายของเราสร้างขึ้นมา มีหน้าที่นำส่งสารเคมีจากเซลล์หนึ่งไปยังเซลล์อื่น ๆ ฮอร์โมนจะเกี่ยวข้องกับการเจริญเติบโต การสลายตัวของเซลล์ รวมถึงระบบภูมิคุ้มกัน นอกจากนั้น ฮอร์โมนยังเกี่ยวข้องโดยตรงกับความอ่อนเยาว์ ความสาว การผลัดของเซลล์ผิว รวมทั้งการสร้างเซลล์ใหม่ด้วย ซึ่งฮอร์โมนที่เกี่ยวข้องกับความสาวมี 4 ชนิดด้วยกันค่ะ ได้แก่ เอสโตรเจน เมลาโทนิน เทสโทสเตอโรน และโกรทฮอร์โมน

ฮอร์โมนเอสโตรเจน
หน้าที่ของฮอร์โมนชนิดนี้ คือการกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนและอีลาสติน ให้ผิวเต่งตึงสดใสมีชีวิตชีวา เมื่อใดที่ร่างกายผลิตฮอร์โมนชนิดนี้น้อยลง ผิวสวยแย่แน่ๆ ค่ะ เพราะจะทำให้ผิวแห้งกร้าน ไม่อุ้งน้ำ ผลที่ตามมาคือ การเกิดรอยย่น ตีนกา และริ้วรอยต่างๆ ยิ่งไปกว่านั้น ผิวแห้งๆ ยังทำให้ผิวเป็นขุย เกิดอาการแพ้ และอาการระคายเคืองได้ง่ายขึ้นอีกด้วยค่ะ

ฮอร์โมนเมลาโทนิน
ฮอร์โมนชนิดนี้จะช่วยต้านอนุมูลอิสระ ทำให้เซลล์ผิวมีความแข็งแรง ชะลอการเกิดริ้วรอย และยังช่วยให้ร่างกายนอนหลับสนิท เมื่อได้พักผ่อนเพียงพอ ผิวพรรณก็จะสดชื่น และเซลล์ใต้ชั้นผิวก็จะทำงานอย่างเป็นระบบ ปัญหาคือร่างกายเรา จะสร้างเมลาโทนินที่ว่านี้น้อยลงเมื่ออายุมากขึ้น

ฮอร์โมนเทสโทสเตอโรน
เมื่อใดที่ฮอร์โมนนี้มีระดับเพิ่มสูงขึ้น สิ่งที่ตามมาก็คือสิวค่ะ และขนค่ะ ตัวการร้ายที่ทำให้รูขุมขนเกิดการอุดตัน แต่ฮอร์โมนชนิดนี้ก็มีส่วนดีก็คือการทำให้ผิวชื้นเต่งตึงในเวลาเดียวกัน เมื่อใดที่ฮอร์โมนชนิดนี้ลดลงเตรียมใจไว้เลยค่ะว่าจะต้องเจอกับปัญหาผิวบาง ตกกระง่าย ผิวหย่อนคล้อย สังเกตได้ง่ายๆ ก็บริเวณรอบดวงตานี่ล่ะค่ะที่ชัดเจนที่สุด

โกรทฮอร์โมน
ฮอร์โมนที่อยู่กับเรามาตั้งแต่วัยเยาว์ มีหน้าที่ทำให้เราเติบโตนั่น ฮอร์โมนตัวนี้จะช่วยสร้างมวลกระดูกและกล้ามเนื้อ ทำให้เราสูง และมีกล้ามเนื้อที่แข็งแรง รวมถึงเชื่อมโยงการทำงานของระบบประสาท และช่วยกระตุ้นการสร้างเซลล์ผิวใหม่ ฮอร์โมนชนิดนี้จะทำงานอย่างเต็มที่จนถึงช่วงอายุประมาณ 20 ปี และจะทำงานลดลงเมื่อเราอายุขึ้นเลข 3 โดยจะลดลงอย่างต่อเนื่อง ปริมาณโกรทฮอร์โมนที่ลดลงนั้นส่งผลต่อสุขภาพและความงามอย่างมากค่ะ เพราะเมื่อใดที่ร่างกายสร้างโกรทฮอร์โมนน้อยลง ผิวพรรณก็จะเสื่อมสภาพลงอย่างรวดเร็ว ขาดการสร้างผิวใหม่ทดแทน ผิวจะซีด หย่อนคล้อย ทั้งบริเวณหนังตา และแก้ม ทั้งการทำงานของกล้ามเนื้อในทุกๆ ส่วนก็จะทำงานได้น้อยลง

การเรียนรู้เรื่องฮอร์โมนภายในร่างกายเป็นการทำความรู้จักกับการเปลี่ยนแปลงของร่างกายในเชิงลึก เพื่อทำความเข้าใจถึงการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น และพร้อมที่จะเตรียมรับต่อความเปลี่ยนแปลงในส่วนต่างๆ ที่จะเกิดขึ้นกับร่างกายของเรานั่นเองค่ะ โดยวงการแพทย์ในปัจจุบันได้พยายามคิดค้นหาวิธีในการชะลอวัยด้วยศาสตร์ต่างๆ มากมาย รวมไปถึงการพยายามคิดค้นฮอร์โมนที่จะเป็นประโยชน์ต่อร่างกาย และมีความก้าวหน้าไปอย่างมาก
วันนี้ ได้รู้จักกับฮอร์โมนเพิ่มขึ้นมาอีกซักหน่อยแล้ว เดี๋ยวสัปดาห์หน้ามาต่อกันค่ะ กับเรื่องของการรักษาสมดุลของฮอร์โมน และการชะลอวัย รักษาความสาวให้อยู่กับเราไปนานๆ
แล้วพบกันนะคะ ^^