OMEGA-3, EPA และ DHA

o3.png
เคยมีใครสงสัยหรือเปล่าคะ ว่า Omega 3 คืออะไร มีประโยชน์อย่างไร จำเป็นต่อร่างกายแค่ไหน และเราจะได้ Omega 3 จากอาหารประเภทใดบ้าง ก็ในบรรดาสารอาหารที่มีเราเห็นผ่านโฆษณาในสื่อต่างๆ คงไม่มีสารอาหารชนิดใด ที่เราคุ้นเคย และเห็นผ่านตาบ่อยเท่ากับสารอาหารประเภท Omega 3 แล้วล่ะค่ะ
วันนี้ มาดูกันค่ะ ว่าอะไรคือ Omega 3

Omega 3 อยู่ในกลุ่มสารอาหารประเภท กรดไขมันชนิดไม่อิ่มตัว (polyunsaturated fat) ซึ่งเป็นแหล่งพลังงานที่สำคัญของร่างกาย เป็นส่วนประกอบที่ช่วยให้เนื้อเยื่อของเซลล์มีการเจริญเติบโต ทั้งยังช่วยให้ระบบต่างๆ ภายในร่างกายทำงานอย่างเป็นปกติอีกด้วย
แม้ร่างกายของเราจะไม่สามารถสังเคราะห์ Omega 3 ขึ้นมาได้เอง แต่ร่างกายสามารถรับสารอาหารที่มี Omega 3 ได้จากอาหารในแต่ละวันที่เราทานเข้าไป และหนึ่งในประเภทของ Omega 3 ที่เราได้รับ ก็คือกรดประเภท อัลฟาไลโนเลนิก (ALA, Alpha Linolenic Acid) เรียกได้ว่าเป็นกรดตั้งต้นของกลุ่ม โอเมก้า 3 ที่ร่างกายสามารถแปลงไปเป็น กรดไอโคซาเพนทาอีโนอิก (EPA, Eicosapentaenoic Acid) และกรดโดโคซาเฮกซาอีโนอิก (DHA, Docosahexaenoic Acid) ได้ กรด EPA และ DHA สองชนิดนี้เป็นกรดประเภท Omega 3 เช่นเดียวกันกับกรด ALA ทว่ามีความซับซ้อนยิ่งขึ้น และมีความสำคัญ ให้ประโยชน์กับร่างกายในด้านต่างมากขึ้นไปอีกค่ะ

ก่อนจะไปถึง EPA และ DHA เราลองมาดูกันก่อนค่ะ ว่าเราได้ ALA มาจากไหนกันบ้าง ที่จริงแล้ว ALA มีในอาหารทั่วๆ ไปที่เราทานกันนี่ล่ะค่ะ ทั้งผักประเภทต่างๆ เนื้อสัตว์ ไข่ นม แต่การจะเปลี่ยน ALA ไปเป็น EPA และ DHA นั้น ร่างกายจำเป็นต้องได้รับสารอาหารประเภทอื่นเพื่อใช้ร่วมกันด้วย ได้แก่ วิตามิน B3 วิตามิน B6 วิตามิน C สังกะสี และ แมกนีเซียม ซึ่งทั้งหมดจำเป็นจะต้องได้รับในปริมาณที่เพียงพอ ซึ่งแปลว่า อาจจะเป็นการง่ายกว่า ที่เราจะมองหาอาหารที่มี EPA และ DHA โดยตรง เพื่อจะไม่ต้องกังวลว่าร่างกายจะสามารถสังเคราะห์กรดเหล่านี้ขึ้นมาได้เพียงพอต่อความต้องการของร่างกายหรือไม่

มาถึงประโยชน์ของ Omega 3 กันบ้างค่ะ
เนื่องจาก EPA และ DHA มีโครงสร้างทางเคมีที่ซับซ้อนกว่า และให้ประโยชน์ที่มากกว่า ALA เมื่อกล่าวถึง Omega 3 เราจึงมักหมายถึง กรดสองชนิดนี้เป็นหลัก ซึ่ง ทั้งหมด มีประโยชน์ต่อร่างกายเรามากเลยค่ะ ทั้ง 1) ช่วยลดการตอบสนองของร่างกายต่ออาการอักเสบ ลดอัตราการเป็นโรคหัวใจและมะเร็ง 2) เป็นกรดไขมันที่จำเป็นต่อการสร้างผนังเซลล์ มีประโยชน์ต่อระบบประสาทและสายตา 3) โอเมก้า 3 มีอยู่จำนวนมากในสมองของเรา เป็นตัวที่ช่วยในเรื่องความจำ ความสามารถของสมอง อารมณ์ และพฤติกรรม การเรียนรู้ การคิดการจดจำ และการพัฒนาของสมองในวัยเด็ก 4) โอเมก้า 3 ช่วยรักษาอาการผิดปกติบางอย่างได้เช่น เบาหวาน โรคปวดข้อ โรคกระดูกพรุน คอเลสเตอรอลสูง ความดันโลหิตสูง โรคหืด ช่วยการทำงานของระบบฮอร์โมน ลดอาการภูมิแพ้ต่างๆ 5) โอเมก้า 3 จะช่วยในการลดการอุดตันของหลอดเลือด ซึ่งช่วยลดอาการหัวใจวายและสมองขาดเลือดได้

nutrition

เอาล่ะค่ะ ได้ทราบถึงประโยชน์ ของ Omega 3 กันแล้ว ถึงเวลา เริ่มมองหาอาหารที่ให้ Omega 3 กันบ้างแล้ว อาหารที่ให้ Omega 3 สูง อันดับต้นๆ แน่นอนค่ะ ปลาทะเลประเภทต่างๆ ซึ่งให้ EPA และ DHA กับร่างกายโดยตรงเลย นอกจากนั้นผักใบเขียวอีกหลายประเภท ถั่ว และผลิตภัณฑ์จากถั่ว ก็จะให้กรด ALA ซึ่งร่างกายสามารถแปลงไปเป็น EPA และ DHA ได้ต่อไป ลองดูจากตารางเปรียบเทียบได้เลยค่ะ

ส่วนใคร ที่กังวลว่าร่างกายจะได้รับ Omega 3 ไม่เพียงพอ อาจจะลองมองหาอาหารเสริมประเภท น้ำมันปลา เป็นทางเลือกก็ได้
ส่งท้ายก่อนจะถึงมื้อเย็นวันนี้ อย่าลืมมองหาอาหารที่มีประโยชน์ และเลือกอาหารที่ให้ Omega 3 กันด้วยนะคะ

เครื่องสำอางหมดอายุ

cos
สาวๆ อาจจะเคยคิดว่าเครื่องสำอางทั้งหลายบนโต๊ะเครื่องแป้งนั้นมีอายุการใช้งานได้ประมาณ 2-3 ปี แต่รู้หรือไม่คะว่าเรากำลังเข้าใจผิดกันอยู่ ส่วนจะเข้าใจผิดอย่างไรนั้น วันนี้เรามีความรู้ดีๆ มาบอกกันค่ะ
เครื่องสำอางมักระบุวันหมดอายุ นับเริ่มต้นตั้งแต่วันที่ผลิตไปอีกประมาณ 2-3 ปีค่ะ แต่นั่นเป็นการนับเวลาในลักษณะที่เครื่องสำอางนั้นยังไม่ได้ถูกเปิดใช้งาน
เมื่อเราแกะห่อเครื่องสำอาง นำออกมาใช้จริงแล้วนั้น เครื่องสำอางจะสัมผัสกับอากาศ รับแบคทีเรียเข้าไป ทำให้เสื่อมคุณภาพ อายุการใช้งานก็จะลดน้อยลง เครื่องสำอางแต่ละชนิดมีอายุการใช้งานที่ไม่เท่ากันค่ะ เรามาดูกันดีกว่าว่าเครื่องสำอางแต่ละชนิดมีอายุการใช้งานเท่าไหร่กันบ้างนับจากการใช้ครั้งแรก

– มาสคาร่า มีอายุใช้งานประมาณ 3-6 เดือน หลังเปิดใช้ครั้งแรก
– อายแชโดว์ มีอายุใช้งานระมาณ 2 ปี หลังจากเปิดใช้ครั้งแรก
– อายไลเนอร์หรือดินสอเขียนขอบตา ในกรณีที่มีการเหลาใช้เป็นประจำ มีอายุใช้งานประมาณ 2 ปี
– ลิปสติก มีอายุใช้งานประมาณ 2-3 ปี หลังจากเปิดใช้ครั้งแรก
– ลิปไลเนอร์หรือดินสอเขียนขอบปาก หมดอายุประมาณ 2 ปี หลังจากเปิดใช้ครั้งแรก
– รองพื้น ถ้าเป็นแบบผสมน้ำใช้ได้ 1 ปี แบบผสมน้ำมัน ใช้ได้ประมาณ 1.5 ปี หลังจากเปิดใช้ครั้งแรก
– แป้งฝุ่นหรือแป้งบรัชออนสีต่างๆ ที่ใช้ทาแก้ม-หน้า จะหมดอายุภายใน 2 ปีหลังจากเปิดใช้ครั้งแรก
– ยาทาเล็บปกติจะหมดอายุภายใน 1 ปี ขึ้นอยู่กับคุณภาพ ระหว่างนั้น ถ้าไม่ค่อยได้ใช้ก็ควรเขย่าขวดบ่อยๆ เพื่อช่วยยืดอายุการใช้งาน
– น้ำหอมถ้ายังไม่เปิดใช้ และเก็บให้ห่างจากแสงสว่าง และความร้อน จะมีอายุใช้งานนานประมาณ 3 ปี แต่ถ้าเริ่มเปิดใช้แล้ว จะอยู่ได้ประมาณ 1.5 ปีค่ะ
– ครีมบำรุงผิว จะอยู่ได้ราว 1 ปีหลังจากเปิดใช้ครั้งแรกค่ะ

อายุการใช้งานเหล่านี้เป็นการประเมินจากการใช้เครื่องสำอางทั่วๆ ไปค่ะ เวลาเราเปิดเครื่องสำอางแต่ละชิ้นก็ควรจดวันที่เอาไว้ซักหน่อย เพื่อเตือนว่าเครื่องสำอางขนิดนั้นๆ จะหมดอายุเมื่อไหร่ เพราะการใช้เครื่องสำอางที่หมดอายุ อาจทำให้เกิดผื่นแพ้ หรืออาการอักเสบของผิวหนังได้ ขึ้นอยู่กับสภาพผิว และลักษณะของการเสื่อมสภาพของเครื่องสำอางแต่ละชนิด
เคล็ดลับดีๆ ในการยืดอายุของเครื่องสำอางให้สามารถใช้งานได้นานขึ้น ก็คือการเก็บไว้ในตู้เย็น หรือที่ๆ มีอุณหภูมิต่ำ รวมทั้งเรื่องของการรักษาความสะอาดค่ะ ความสะอาดนี่ถือว่าสำคัญมาก เพราะนอกจากเครื่องสำอางจะใช้ได้นานแล้วยังไม่ก่อให้เกิดปัญหาสิวบนใบหน้าอีกด้วยนะคะ

สงกรานต์ปีนี้ ไปไหว้พระที่ไหนดี

;yf.jpg
ถึงเทศกาลสงกรานต์ วันขึ้นปีใหม่แบบไทยๆ ของเรากันแล้ว ช่วงเทศกาลที่มีวันหยุดยาวๆ อย่างนี้ หลายๆ คนอาจจะมีโปรแกรมไปเที่ยวพักผ่อนกันตามสถานที่ต่างๆ ให้คลายความร้อนจากไอแดดแรงๆ กลางเดือนเมษา แต่สำหรับใครที่ยังไม่ได้วางแผนจะไปไหน แต่อยากจะหากิจกรรมในช่วงวันหยุดแบบเบาๆ ในกรุงเทพฯ ลองจัดตารางไปไหว้พระ ทำบุญ เพื่อเป็นศิริมงคล รับกับปีใหม่ที่กำลังจะมาถึงกันค่ะ

วันนี้ มีรายละเอียด และเกร็ดความรู้ สำหรับผู้ที่สนใจจะไปทำบุญไหว้พระ รวมถึง วัดสำคัญๆ ของพวกเราชาวไทย มาฝากกัน

เริ่มต้นกันที่ วัดพระศรีรัตนศาสดาราม หรือวัดพระแก้ว เป็นวัดในพระบรมมหาราชวัง ที่พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช โปรดเกล้าฯ ให้สร้างขึ้นใน พ.ศ. 2325
ภายในวัด เป็นที่ประดิษฐาน พระพุทธมหามณีรัตนปฏิมากร หรือพระแก้วมรกต
วัดพระแก้วเป็นสถานที่ ซึ่งเต็มไปด้วยกลิ่นอายของประวัติศาสตร์ ศิลปะชั้นสูง ภาพวาด และจิตรกรรมฝาผนัง รวมถึงปูชนียวัตถุล้ำค่าของแผ่นดินมากมายเลยทีเดียว
สำหรับที่นี่ ใครที่ชื่นชอบในทางประวัติศาสตร์ และศิลปะของไทย น่าที่จะใช้เวลาอยู่ที่วัดพระแก้วกันได้เป็นวัน โดยไม่รู้สึกเบื่อกันเลยล่ะค่ะ ก็ความประณีตของศิลปะ และความลึกซึ้งในทางประวัติศาสตร์ของไทยเรา ไม่ใช่จะมีเพียงแค่งานศิลป์ที่อยู่ภายในวัด แต่เริ่มต้นกันตั้งแต่ซุ้มประตูพระบรมมหาราชวังกันเลย เคยทราบกันมั้ยคะ ว่าซุ้มประตูพระบรมมหาราชวังทั้ง 12 ประตู มีความหมายที่เป็นมงคล และคล้องจองกันทั้งหมดอีกด้วย เริ่มต้นจาก ประตูวิมานเทเวศร์ ประตูวิเศษไชยศรี ประตูมณีรพรัตน์ ประตูสวัสดิโสภา ประตูเทวาพิทักษ์ ประตูศักดิ์ไชยสิทธิ์ ประตูวิจิตรบรรจง ประตูอนงคารักษ์ ประตูพิทักษ์บวร ประตูสุนทรทิศา ประตูเทวาภิรมย์ และ ประตูอุดมสุดารักษ์
สำหรับการไปทำบุญไหว้พระที่วัดพระศรีรัตนศาสดาราม เชื่อกันว่าเป็นศิริมงคล ช่วยชำระจิตใจให้ผ่องใส ดุจรัตนมณี ค่ะ

วัดสำคัญลำดับต่อมา ได้แก่วัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม หรือที่รู้จักกันในชื่อ วัดโพธ์ วัดเก่าแก่ที่สร้างขึ้นตั้งแต่สมัยอยุธยา และได้รับการบูรณปฏิสังขรณ์เรื่อยมาในทุกรัชกาล ภายในวัดแบ่งออกเป็นสองส่วน คือ 1) เขตวัดเดิม ด้านริมแม่น้ำเจ้าพระยา เป็นที่ตั้งของ วิหารพระพุทธไสยาส ศาลาการเปรียญ (ซึ่งเป็นพระอุโบสถเดิม ของวัดโพธาราม) พระมณฑป และพระมหาเจดีย์สี่รัชกาล และ 2) เขตพระอุโบสถ ที่ถูกสร้างขึ้นตามคติไตรภูมิ โดยให้พระอุโบสถเป็นเสมือนเขาพระสุเมรุ และให้วิหารทิศทั้งสี่ เป็นเสมือนทวีปหลักทั้งสี่ ประกอบด้วยหมู่พระวิหาร หมู่พระเจดีย์ และพระมหาสถูป
ตามความนิยม เชื่อกันว่าการไหว้พระที่วัดโพธ์นี้ จะนำมาซึ่งความร่มเย็นเป็นสุขในชีวิต เปรียบได้กับความร่มเย็นภายใต้ร่มเงาของต้นโพธ์ค่ะ

ไปถึงวัดโพธ์แล้ว คงพลาดไม่ได้ที่จะข้ามฟากมาที่วัดแจ้ง หรือ วัดอรุณราชวราราม อีกวัดเก่าแก่ที่สร้างขึ้นตั้งแต่สมัยอยุธยา ในชื่อเดิมคือวัดมะกอก มีพระปรางค์งดงามขนาดใหญ่ ตั้งอยู่สูงเด่นเป็นสง่า ภายในพระอุโบสถ เป็นที่ประดิษฐานพระพุทธธรรมมิศราชโลกธาตุดิลก เป็นพระประธานในพระอุโบสถ เป็นพระพุทธรูปปางมารวิชัย ศิลปะรัตนโกสินทร์ ที่เล่ากันว่าหุ่นพระพักตร์ปั้นขึ้นโดย พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย และที่ฐานของพระพุทธธรรมมิศราชโลกธาตุดิลก ยังเป็นที่ประดิษฐานพระบรมอัฐิของพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัยอีกด้วย
การไปทำบุญที่วัดอรุณ มีความเชื่อกันว่าจะช่วยให้ มีชีวิตที่ดี มีความรุ่งเรืองดั่งแสงสว่างของดวงอาทิตย์ค่ะ

วัดบวรนิเวศราชวรวิหาร หรือวัดบวร สร้างขึ้นในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว ด้วยสถาปัตยกรรมแบบผสม ไทย-จีน พระอารามนี้เคยเป็นที่ประทับของสมเด็จพระสังฆราชถึง 4 พระองค์ และเป็นที่ตั้งของมหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัยอีกด้วย
ภายในพระอุโบสถมีพระพุทธรูปสำคัญอยู่ 2 องค์เป็นพระประธาน คือพระพุทธสุวรรณเขต (หลวงพ่อโต) อัญเชิญมาจาก วัดสระตะพาน จังหวัดเพชรบุรี และ พระพุทธชินสีห์ อัญเชิญมาจากวิหารทิศเหนือ วัดพระศรีรัตนมหาธาตุวรมหาวิหาร จังหวัดพิษณุโลก ซึ่งที่ใต้ฐานพุทธบัลลังก์ พระพุทธชินสีห์ พระประธานในพระอุโบสถวัดบวรนิเวศวิหาร ยังเป็นที่บรรจุพระบรมราชสรีรางคาร พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ผู้ทรงเคยผนวช ณ วัดนี้เมื่อยังทรงดำรงพระอิสริยยศที่สยามมกุฎราชกุมารอีกด้วย
การไปไหว้พระที่วัดบวร เป็นสิริมงคล ตามความเชื่อว่าจะนำมาซึ่งสิ่งดีงามในชีวิตค่ะ

วัดระฆังโฆสิตารามวรมหาวิหาร หรือ วัดระฆัง หรือ วัดหลวงพ่อโต เป็นวัดโบราณสร้างขึ้นในสมัยอยุธยา เดิมชื่อ วัดบางหว้าใหญ่ ภายในวัดมีหอพระไตรปิฎกซึ่งเป็นสถาปัตยกรรมที่งดงามมาก เดิมเป็นพระตำหนักและหอประทับนั่งของพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราชขณะทรงรับราชการในสมัยธนบุรี และโปรดเกล้าฯ ให้รื้อมาถวายวัด เมื่อเสด็จขึ้นครองราชสมบัติแล้ว มีพระราชประสงค์จะบูรณปฏิสังขรณ์ให้สวยงามเพื่อเป็นหอพระไตรปิฎก
บริเวณฝาผนังภายในพระอุโบสถโดยรอบมีภาพเขียนจิตรกรรมโดย พระวรรณวาดวิจิตร (ทอง จารุวิจิตร) จิตรกรเอกในสมัยรัชกาลที่ ๖ เมื่อราว พ.ศ. 2465 ครั้งมีการบูรณะซ่อมแซมพระอุโบสถในรัชกาลนั้น โดยผนังด้านหน้าพระประธานเขียนเป็นภาพพระพุทธเจ้าแสดงยมกปาฏิหาริย์ก่อนเสด็จขึ้นไปจำพรรษาบนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ และตอนเสด็จลงจากสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ ด้านหลังพระประธานเขียนภาพพระมาลัยขณะขึ้นไปนมัสการพระมหาจุฬามณีบนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ เบื้องล่างเขียนภาพสัตว์นรกในอาการต่างๆ ภาพฝาผนังส่วนที่เหลือ เบื้องบนเขียนเป็นเทพชุมนุม ตอนล่างเขียนภาพทศชาติ นับได้ว่าเป็นชุดภาพเขียนที่มีชีวิตชีวาอ่อนช้อยอย่างที่สุดชุดหนึ่งในกลุ่มจิตรกรรมฝาผนังยุครัตนโกสินทร์
การไปไหว้พระที่วัดระฆัง เชื่อกันว่าจะนำมาซึ่งชื่อเสียง ความนิยม ดังเสียงระฆังที่ก้องกังวานเลยล่ะค่ะ

นอกเหนือจากวัดสำคัญที่ได้กล่าวถึงไปแล้วทั้ง 5 วัด ยังมีวัดสำคัญอื่นๆ ที่มีชื่อเป็นศิริมงคล และเป็นที่นิยม แนะนำให้ไปทำบุญ ไหว้พระในช่วงสงกรานต์ปีนี้กันอีกหลายวัดเลยค่ะ ได้แก่ วัดกัลยาณมิตร วัดชนะสงคราม วัดสุทัศน์เทพวราราม และ วัดสระเกศวรมหาวิหาร
ใครสะดวกจะไปทำบุญไหว้พระกันที่วัดไหน ก็สามารถไปกันได้เลยนะคะ
สงกรานต์ปีนี้ เริ่มต้นปีใหม่ กันด้วยการทำบุญเป็นศิริมงคลกับชีวิตไปพร้อมๆ กันค่ะ ^^

เมื่อลูกๆ เข้าสู่วัยรุ่น

teen.jpg
เมื่อลูกๆ เริ่มเข้าสู่วัยรุ่น ช่วงวัยที่เริ่มมีเพื่อน และติดเพื่อน เป็นวัยที่มีความเป็นตัวของตัวเองสูง อาจจะชอบเลียนแบบดารานักแสดงที่ชื่นชอบ ต้องการมีพื้นที่ของตัวเอง วัยนี้เป็นวัยที่เริ่มจะดูแลตัวเองได้ คุณพ่อคุณแม่อาจถอยห่างออกมาสักนิด และเริ่มให้พวกเขาได้รับผิดชอบในเรื่องราวต่างๆ เกี่ยวกับตัวเอง เปลี่ยนจากบทบาทของผู้ที่คอยทำทุกอย่างให้ มาเป็นเพื่อนคู่คิดที่คอยให้คำปรึกษาพวกเขาอยู่ใกล้ๆ แทน

ช่วงวัยนี้เป็นช่วงที่มีพัฒนาการในด้านร่างกายในหลายๆ ส่วน ซึ่งรวมถึงพัฒนาการเรื่องฟัน จึงจำป็นอย่างยิ่งที่จะต้องให้คำแนะนำที่ถูกต้องในเรื่องการดูแลสุขภาพในช่องปาก เพื่อให้เด็กๆ ได้ดูแลฟันได้อย่างเหมาะสม และมีสุขภาพปากและฟันที่แข็งแรงค่ะ
วันนี้ เรามีคำแนะนำดีๆ เกี่ยวกับเรื่องสุขภาพในช่องปากของวัยรุ่นมาแนะนำกันค่ะ
เมื่อสำรวจฟันของวัยรุ่น จะพบว่าฟันน้ำนมหลุดออกไปหมดหรือเกือบหมด และมีฟันแท้ขึ้นมาแทนที่เต็มปากแล้ว จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องดูแลฟันแท้เหล่านี้ให้ดีที่สุด เพราะจะเป็นฟันชุดที่จะอยู่กับพวกเขาไปอีกหลายสิบปี

วัยรุ่น จะอยู่ในช่วงวัยที่ฟันแท้ขึ้นเกือบครบแล้ว และอย่างที่บอก คือเป็นฟันชุดที่จะต้องอยู่กับเค้าไปอีกหลายสิบปี แต่ด้วยกิจกรรมต่างๆ ที่วัยรุ่นมักจะมีมากมายตลอดวัน นอกเหนือจากเรื่องเรียน ไม่ว่าจะเป็น การเล่นเกมส์ เล่นกีฬา การไปเที่ยว หรืองานอดิเรกต่างๆ มักจะทำให้วัยรุ่นละเลยในเรื่องของการดูแลช่องปาก จึงเป็นหน้าที่ของคุณพ่อ คุณแม่ ที่จะต้องคอยเตือนให้แปรงฟันหลังอาหารทุกมื้อ และหัดใช้ไหมขัดฟันด้วยตัวเองอย่างสม่ำเสมอทุกวัน
นอกจากนั้น อาหารในปัจจุบันมีน้ำตาลผสมอยู่เยอะ วัยรุ่นไม่ค่อยระวังเรื่องของการรับประทานอาหารเท่าไรนัก พวกเขาอาจจะทานอาหารฟาสต์ฟู้ด ทานขนมหวาน ของขบเคี้ยว โดยเฉพาะน้ำอัดลม ซึ่งจะทำลายความแข็งแรงของฟันได้ จึงควรบ้วนปากหลังจากทานอาหารเหล่านี้ทุกครั้งค่ะ

วัยรุ่นเป็นวัยที่มีความคึกคะนอง และความอยากทดลองอะไรแปลกๆ มากมาย กิจกรรมเหล่านั้นอาจทำให้เกิดอันตรายกับฟันได้ ไม่ว่าจะเป็น กีฬาผาดโผนต่างๆ ที่อาจทำให้ฟันหัก หรือฟันบิ่นได้ จึงควรแนะนำให้พวกเขารู้จักใส่เครื่องป้องกันฟัน หรือหลีกเลี่ยงกิจกรรมผาดโผนที่อันตราย หรือมีความเสี่ยงสูง

คุณพ่อ คุณแม่ ควรพาบุตรหลานไปพบทันตแพทย์ทุกๆ 6 เดือนนะคะ เพื่อไปตรวจฟัน ทำความสะอาดช่องปาก และทำการรักษาแต่เนิ่นๆ เพื่อป้องกันฟันผุ ไม่ว่าจะเป็นการเคลือบหลุม และร่องฟันในฟันกรามน้ำนม ฟันกรามแท้ หรือเคลือบฟลูออไรด์ หากพบว่ามีฟันผุก็จะได้ทำการรักษาเสียแต่เนิ่นๆ ก่อนจะมีอาการรุนแรงค่ะ

ปัจจุบันมักพบว่าเด็กมีการสบฟันที่ผิดปกติในลักษณะต่างๆ ได้ เช่น ฟันซ้อนเก ฟันห่าง ฟันยื่น เป็นต้น ซึ่งลักษณะของการสบฟันที่ผิดปกตินี้สามารถแก้ไขได้ด้วยการจัดฟันค่ะ

ซึ่งวัยรุ่นนั้นมักจะทำอะไรเลียนแบบกัน จนเคยมีอยู่ช่วยหนึ่ง ที่มีกระแสของการจัดฟันขึ้นมา เด็กๆ ก็พยายามหาอุปกรณ์ต่างๆ มาติดฟันไว้ ซึ่งเป็นเรื่องที่น่าเป็นห่วงมาก เพราะพวกเขากำลังทำร้ายฟันอย่างไม่รู้ตัว
จริงๆ แล้ว “การจัดฟัน” ถือเป็นการรักษาทางทันตกรรมอย่างหนึ่งซึ่งจะต้องมีการตรวจ วิเคราะห์และวางแผนการรักษาอย่างรัดกุมก่อนดำเนินการรักษา และจะต้องทำการรักษาโดยทันตแพทย์เฉพาะทางหรือฝึกฝนงานด้านจัดฟันมาโดยเฉพาะ เครื่องมืออุปกรณ์ที่ใช้ก็ต้องผลิตด้วยวัสดุที่สามารถใช้ในช่องปากได้อย่างปลอดภัย

เครื่องมือจัดฟันในปัจจุบันก็มีทั้งแบบถอดได้และแบบติดแน่น สำหรับแบบติดแน่นก็มีความแตกต่างกันไปตามวัสดุที่ผลิต เทคนิกการรักษา เช่น เครื่องมือชนิดโลหะ เซรามิก แซฟไฟร์ พลาสติก แบบติดด้านนอก หรือแบบติดด้านใน ยึดลวดกับ brackets ด้วยยางสีต่างๆ

หลายๆ ครั้งคุณพ่อคุณแม่อาจสงสัยว่า ควรจะพาลูกๆ ไปจัดฟันเมื่ออายุเท่าไหรดี
อายุที่เหมาะสมสำหรับการจัดฟัน คือ ประมาณ 12-15 ปี เมื่อฟันแท้ขึ้นมาครบทุกซี่แล้วค่ะ โดยเมื่ออยู่ในช่วงที่มีการจัดฟันนั้น ภายในช่องปากจะมีเครื่องมือติดแน่น จึงจำเป็นต้องดูแลตัวเองเป็นพิเศษ มิฉะนั้นจะมีโอกาสเกิดฟันผุและเหงือกอักเสบได้ง่าย ควรแปรงฟันทุกครั้งหลังรับประทานอาหาร เพราะอาหารจะติดตามเครื่องมือได้ง่าย ควรพกแปรงสีฟันติดตัวไว้เลยค่ะ แต่ไม่ต้องกังวลนะคะว่าจะแปรงยังไง เพราะเวลาที่คุณหมอจัดฟันติดเครื่องมือให้แล้ว คุณหมอหรือผู้ช่วยของคุณหมอจะอธิบายถึงวิธีการแปรงฟันให้ค่ะ

เมื่อทำการจัดฟัน อาจจำเป็นต้องหลีกเลี่ยงอาหารบางจำพวก เช่นอาหารที่แข็ง หรือเหนียวจนเกินไป เพราะจะทำให้เครื่องมือหลุด หรือลวดเกี่ยวปากได้ หลีกเลี่ยงอาหารหวาน หรือน้ำอัดลม เพราะจะทำให้ฟันผุได้ง่าย

ส่วนอาการเจ็บฟันนั้น ถือเป็นเรื่องปกติที่จะพบหลังการรักษาในแต่ละเดือน โดยปกติจะเจ็บอยู่ 2-3 วัน หรือบางคนอาจนานถึงจะ 1 สัปดาห์ ในระหว่างนี้ให้รับประทานอาหารอ่อนๆ เช่น ข้าวต้ม โจ๊ก นม หรือ ขนมปัง แต่ถ้าพบว่ามีฟันซี่ใดซี่หนึ่งเจ็บผิดปกติก็ให้รีบกลับไปพบคุณหมอนะคะเพื่อตรวจหาสาเหตุและช่วยแก้ไขให้ค่ะ
สิ่งที่ต้องหรือเลี่ยง คือ การเล่นกีฬาที่อาจเป็นอันตรายบริเวณใบหน้า เช่น กีฬาลูกบอลประเภทต่างๆ ตะกร้อ กีฬามวย หรือกีฬาผาดโผนต่างๆ โดยหากจำเป็นต้องการเล่น ก็ต้องใส่อุปกรณ์ป้องกันศีรษะ และใบหน้า และหากเกิดอุบัติเหตุใดๆ กับช่องปากและใบหน้าในระหว่างจัดฟันต้องรีบกลับไปพบคุณหมอโดยด่วนเลยนะคะ

วัยรุ่นถือช่วงวัยที่เราจะปลูกฝังเรื่องการดูแลรักษาฟันด้วยตนเอง คุณพ่อคุณแม่จึงควรสร้างวินัยที่ดี ให้พวกเขาได้รู้จักรับผิดชอบดูแล ทำความสะอาดช่องปากพวกเขาอย่างถูกต้อง เพื่อสุขภาพปากและช่องฟันที่ดีที่จะติดตัวไปกับพวกเขาเองในอนาคตค่ะ