ปวดเข่า

อาการปวดไม่ว่าจะปวดหลัง ปวดคอ ปวดต้นขา ปวดเข่า ใครไม่เป็นย่อมไม่รู้ว่าทรมานแค่ไหน จะทำอะไรก็ดูจะติดๆ ขัดๆ ไปเสียหมด
วันนี้เรามีความรู้ดีๆ ในเรื่องของอาการปวดเข่าประเภทต่างๆ ว่ามีที่มาที่แตกต่างกันอย่างไร มาฝากกันค่ะ

อาการปวดเข่าอาจมาจากกล้ามเนื้อก้นอ่อนแรง หรือเป็นที่กล้ามเนื้อไม่สมดุลกัน หรือเป็นเข่าเสื่อมก็ได้ อันดับแรกเราต้องทำความรู้จักกับอาการปวดเข่าจากกล้ามเนื้อไม่สมดุล และอาการเข่าเสื่อมกันก่อน ว่าแตกต่างกันอย่างไร เพราะอาการปวดที่เข่า ไม่จำเป็นต้องเป็นเข่าเสื่อมเสมอไป แต่ถ้าดูแลไม่ถูกต้อง ก็อาจจะเรื้อรัง จากอาการปวดเข่าธรรมดาอาจเลื่อนขั้นไปเป็น อาการเข่าเสื่อมได้เหมือนกันค่ะ

โรคเข่าเสื่อม สามารถวินิจฉัยจากอาการได้ชัดเจนซึ่งประกอบด้วยอาการ และอาการแสดงดังต่อไปนี้

1. มีอาการปวดเข่า โดยปกติจะปวดเมื่อมีการเคลื่อนไหว หรือมีการเดินลงน้ำหนัก เมื่อพักจะดีขึ้น หากเป็นมากจะปวดตลอดเวลา
2. ข้อติดแข็ง ส่วนมากจะพบในตอนเช้าเมื่อตื่นนอนใหม่ๆ หรือเมื่อพักในท่าใดท่าหนึ่งนานๆ ต่อเนื่องโดยไม่ได้ขยับ
3. บวมรอบข้อ อาจพบร่วมกับอาการแดง และร้อนเมื่อลองคลำบริเวณรอบเข่า
4. มีการผิดรูปของข้อเข่า ซึ่งเกิดจากผิวข้อ (Cartilage) บางลง แล้วตัวของกระดูกมีการเสียดสีกัน จนเกิดกระดูกงอกและทำให้เข่าผิดรูป และขยาย จึงพบว่าผู้ที่มีเข่าเสื่อมรุนแรง รอบข้อเข่าจะใหญ่ขึ้น
5. มีเสียงดังภายในข้อเข่า ซึ่งเสียงที่เกิดขึ้นอาจมาจากการเสียดสี ของผิวข้อภายในข้อเข่า
ซึ่งหากมีการ X-Ray จะพบว่าช่องว่างระหว่างกระดูกข้อเข่าจะแคบลง กระดูกผิวข้อบางลง และอาจพบกระดูกงอกได้ ส่วนการวินิจฉัยอาจต้องทำโดยพิจารณาปัจจัยอื่นๆ ร่วมด้วย เช่น อายุเกิน 50 ปี มีน้ำหนักตัวหรืออ้วนมากกว่าปกติ มีประวัติการทำงาน หรือเคยประสบอุบัติเหตุที่อาจทำให้มีความเสื่อมของข้อได้ง่าย เป็นต้น

ในขณะที่ ภาวะกล้ามเนื้อทำงานไม่สมดุลกัน (Muscle Imbalance) ที่ทำให้เกิดอาการปวดหลัง ปวดก้น เป็นผลจากกลุ่มกล้ามเนื้อก้นอ่อนแรง (Gluteal Muscles) แล้วทำให้กล้ามเนื้อด้านข้างต้นขาเกิดการตึงตัวมากกว่าปกติ (Iliotibial band) ซึ่งเป็นส่วนที่สำคัญมากเพราะส่วนนี้จะเป็นตัวที่ให้ความมั่นคงต่อข้อเข่าด้านนอก ซึ่ง band นี้จะทอดยาวตั้งแต่ขอบนอกของกระดูกเชิงกรานข้ามข้อสะโพกแผ่ไปเกาะที่ด้านข้างกระดูกสะบ้า (Patella bone) ข้ามเข่าไปเกาะที่ขอบนอกด้านบนกระดูกหน้าแข้ง (Gerdy’s tubercle) แผ่ไปรวมกับเส้นเอ็นของกล้ามเนื้อต้นขาด้านหลัง (Biceps femoris tendon) จากจุดเกาะดังกล่าวจึงทำให้เมื่อต้องมีการงอ-เหยียดเข่าซ้ำๆ บ่อยๆ จะเกิดการเสียดสีที่เยื่อนี้ ทำให้หนาตัวขึ้นมา และกลายเป็นเหตุที่ทำให้มีอาการเจ็บที่ด้านนอกของข้อเข่า กลุ่มอาการนี้จะเรียกว่า “Iliotibial Band Syndrome” จะพบมากในกลุ่มผู้ออกกำลังกายเช่น วิ่ง ฟุตบอล บาสเก็ตบอล ฯลฯ
อาการปวดเสียวที่เข่าจากสาเหตุนี้มักพบร่วมกับอาการตึงเจ็บที่ต้นขาด้านนอก ซึ่งอาจปวดตึงร้าวจากด้านข้างของข้อสะโพก หรือมีจุดกดเจ็บที่เหนือข้อพับด้านหลัง กล้ามเนื้อต้นขาด้านหลังจะตึงมาก และอาการจะเป็นมากหากต้องเดินนานๆ หรือหลังจากออกกำลังกายประเภทดังที่กล่าว

การแยกอาการของภาวะกล้ามเนื้อไม่สมดุล ออกจากอาการของโรคเข่าเสื่อม ทำได้ไม่ยาก เพราะกลุ่มผู้มีอาการกล้ามเนื้อไม่สมดุลมักพบในนักกีฬา วัยกลางคน ซึ่งอาจดูแข็งแรงดีอยู่ แต่ก็มีจุดอ่อนในส่วนที่ละเลย จนทำให้มีอาการเรื้อรัง มีหลายเคสสามารถเกิดในคนหนุ่มสาว อายุประมาณสามสิบต้นๆ กับอาการปวดเสียวที่เข่าด้านนอก รวมทั้งเริ่มมีอาการเข่าบิดเข้าด้านใน บางคนอาจเป็นนักกีฬามาตั้งแต่อายุสิบกว่าปี เล่นเล่นกีฬาหนักๆ จนวิ่งไม่ได้มาสาม-สี่ปีแล้ว กรณีแบบนี้อาจจะใช้เวลารักษาไม่ถึงเดือน ก็สามารถกลับไปวิ่ง ไปเล่นกีฬาได้เหมือนเดิม เพราะกลุ่มนี้เป็นกลุ่มที่กล้ามเนื้อแข็งแรงดีอยู่แล้ว เพียงให้รู้ว่าสิ่งที่เป็นเกิดจากสาเหตุไหน วิธีการในการดูแลรักษาตัวเองต้องอย่างไรบ้าง การรักษาก็จะพัฒนาได้อย่างรวดเร็ว

เมื่อใดที่ร่างกายของเรากำลังส่งเสียงบอกบางสิ่งอยู่ อย่าละเลยนะคะ เพราะจากที่เป็นเพียงเล็กน้อย อาจลุกลามเป็นปัญหาใหญ่ได้โดยที่เราคาดไม่ถึง โรคเข่าเสื่อมก็เหมือนกัน หากอาการปวดเสียวเข่าในช่วงแรก ไม่ได้รับการดูแล หรือออกกำลังกายให้เหมาะสมกับสาเหตุของปัญหา ก็อาจเป็นปัจจัยที่ทำให้เรื้อรังจนกลายเป็นโรคเข่าเสื่อมได้ ซึ่งถ้าเป็นถึงขั้นนั้นแล้วนอกจากจะต้องเจ็บปวดกับอาการที่เป็น ยังไม่สามารถรักษาให้คืนกลับเหมือนเดิมได้ ใส่ใจฟังเสียงของร่างกายแต่ต้น รักษาให้ถูกทางแต่เนิ่นๆ ช่วยป้องกันอาการป่วย และโรคภัยไข้เจ็บได้ไม่ยากค่ะ

Leave a Reply

Fill in your details below or click an icon to log in:

WordPress.com Logo

You are commenting using your WordPress.com account. Log Out /  Change )

Facebook photo

You are commenting using your Facebook account. Log Out /  Change )

Connecting to %s