กระดูกหักล้า ในนักวิ่ง

การออกกำลังกายด้วยการเดิน หรือการวิ่งเป็นการออกกำลังกายที่ทำได้ง่าย ประหยัด ไม่ต้องใช้อุปกรณ์อะไรมาก อาศัยเพียงแค่สถานที่วิ่งที่เหมาะสม และมีอากาศถ่ายเทสะดวก นับเป็นการออกกำลังกายยอดนิยมเลยทีเดียวล่ะค่ะ ที่สำคัญการออกกำลังกายด้วยการเดิน หรือการวิ่งเป็นประจำ จะส่งผลดีในหลายๆ ด้านเลยทีเดียว มาดูกันค่ะ ว่าข้อดีของการออกกำลังกายแบบนี้ มีอะไรบ้าง

1. ด้านสุขภาพพื้นฐานทั่วไป ช่วยรักษาระดับความดันเลือดให้เป็นปรกติ การทำงานของหัวใจ ปอด การหายใจดีขึ้น เพิ่มความฟิต และสมบูรณ์ให้กับร่างกาย ช่วยเพิ่มความแข็งแรงของกล้ามเนื้อ ทำให้ส่วนต่างๆ ของร่างกายทำงานได้ดีขึ้น
2. ช่วยบรรเทาและลดความเสี่ยงในการเกิดโรคประจำตัวต่างๆ เช่นโรคหัวใจ โรคความดันเลือด โรคเบาหวาน ช่วยลดระดับไขมันในเลือด และช่วยในการควบคุมน้ำหนักได้ด้วย
3. ด้านสุขภาพจิต และอารมณ์ ก็มีรายงานว่าการวิ่งช่วยให้อารมณ์ และสุขภาพจิตดีขึ้น ช่วยทำให้ระดับความเครียดลดลงค่ะ

อย่างไรก็ตาม ถ้าเราวิ่งแบบหักโหม หรือผิดวิธี ก็อาจทำให้ได้รับบาดเจ็บเรื้อรังได้เหมือนกัน โดยเฉพาะอาจทำให้เกิดอาการของโรคกระดูกหักล้า

กระดูกหักล้า คือการหักของกระดูกที่เกิดจากการใช้งานซ้ำๆ ออกกำลังกายหนักมาก ทำให้กล้ามเนื้ออ่อนล้าและไม่สามารถรองรับน้ำหนักหรือแรงกระแทก เมื่อกล้ามเนื้อเริ่มอ่อนล้าแล้วจะส่งผลให้เพิ่มแรงกระทำมาที่กระดูกมากขึ้น ทำให้เกิดการแตกหักเล็กๆขึ้นภายในโครงสร้างของกระดูก  โดยสาเหตุหลักของกระดูกหักล้าเป็นผลมาจากการเพิ่มระยะทาง เวลาและความรุนแรง (Intensity) ของการวิ่งอย่างรวดเร็ว หรือการออกกำลังกายในสภาพพื้นผิวที่เปลี่ยนไป เช่น ผู้ที่เคยวิ่งในลู่วิ่งที่รองรับแรงกระแทก แล้วเปลี่ยนมาวิ่งบนถนนที่แข็ง รวมทั้งการใส่รองเท้าที่ไม่เหมาะสมกับสภาพเท้า และการใช้งานก็อาจส่งผลให้เกิดกระดูกหักล้าได้ ซึ่งอาการกระดูกหักล้าส่วนใหญ่จะเกิดบริเวณกระดูกที่ต้องรองรับน้ำหนักและแรงกระแทก ซึ่งพบได้ในกระดูกขาส่วนล่าง และกระดูกบริเวณเท้า พบได้บ่อยที่สุดคือกระดูกหน้าแข้งค่ะ

เพราะฉะนั้น สำหรับนักวิ่งมือใหม่ ถึงแม้ว่าการวิ่งเป็นกิจกรรมที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย แต่ก็ควรทำอย่างใจเย็น ไม่ต้องเร่ง หรือวิ่งให้เร็วตามใคร ควรกำหนดการวิ่งให้เหมาะสมกับสภาพร่างกายของตนเอง กำหนดเป้าหมายให้จัดเจนว่า จะวิ่งเพื่อสุขภาพ หรือ วิ่งเพื่อการแข่งขัน แล้วกำหนดแผนการให้เหมาะสม หมั่นฝึกซ้อม และทำต่อเนื่องอย่างสม่ำเสมอ แบบค่อยเป็นค่อยไป ที่สำคัญ คอยสังเกตอาการผิดปกติที่อาจจะมีสัญญาณเตือนจากอาการบาดเจ็บเล็ก และให้ความสำคัญกับรองเท้าที่ใช้ เลือกสภาพลู่วิ่งให้เหมาะสม ปลอดภัย ก็จะช่วยให้การวิ่งมีการพัฒนา สามารถวิ่งได้ตามเป้าหมาย โดยไม่มีอาการบาดเจ็บมารบกวนค่ะ

ปวดเข่า

อาการปวดไม่ว่าจะปวดหลัง ปวดคอ ปวดต้นขา ปวดเข่า ใครไม่เป็นย่อมไม่รู้ว่าทรมานแค่ไหน จะทำอะไรก็ดูจะติดๆ ขัดๆ ไปเสียหมด
วันนี้เรามีความรู้ดีๆ ในเรื่องของอาการปวดเข่าประเภทต่างๆ ว่ามีที่มาที่แตกต่างกันอย่างไร มาฝากกันค่ะ

อาการปวดเข่าอาจมาจากกล้ามเนื้อก้นอ่อนแรง หรือเป็นที่กล้ามเนื้อไม่สมดุลกัน หรือเป็นเข่าเสื่อมก็ได้ อันดับแรกเราต้องทำความรู้จักกับอาการปวดเข่าจากกล้ามเนื้อไม่สมดุล และอาการเข่าเสื่อมกันก่อน ว่าแตกต่างกันอย่างไร เพราะอาการปวดที่เข่า ไม่จำเป็นต้องเป็นเข่าเสื่อมเสมอไป แต่ถ้าดูแลไม่ถูกต้อง ก็อาจจะเรื้อรัง จากอาการปวดเข่าธรรมดาอาจเลื่อนขั้นไปเป็น อาการเข่าเสื่อมได้เหมือนกันค่ะ

โรคเข่าเสื่อม สามารถวินิจฉัยจากอาการได้ชัดเจนซึ่งประกอบด้วยอาการ และอาการแสดงดังต่อไปนี้

1. มีอาการปวดเข่า โดยปกติจะปวดเมื่อมีการเคลื่อนไหว หรือมีการเดินลงน้ำหนัก เมื่อพักจะดีขึ้น หากเป็นมากจะปวดตลอดเวลา
2. ข้อติดแข็ง ส่วนมากจะพบในตอนเช้าเมื่อตื่นนอนใหม่ๆ หรือเมื่อพักในท่าใดท่าหนึ่งนานๆ ต่อเนื่องโดยไม่ได้ขยับ
3. บวมรอบข้อ อาจพบร่วมกับอาการแดง และร้อนเมื่อลองคลำบริเวณรอบเข่า
4. มีการผิดรูปของข้อเข่า ซึ่งเกิดจากผิวข้อ (Cartilage) บางลง แล้วตัวของกระดูกมีการเสียดสีกัน จนเกิดกระดูกงอกและทำให้เข่าผิดรูป และขยาย จึงพบว่าผู้ที่มีเข่าเสื่อมรุนแรง รอบข้อเข่าจะใหญ่ขึ้น
5. มีเสียงดังภายในข้อเข่า ซึ่งเสียงที่เกิดขึ้นอาจมาจากการเสียดสี ของผิวข้อภายในข้อเข่า
ซึ่งหากมีการ X-Ray จะพบว่าช่องว่างระหว่างกระดูกข้อเข่าจะแคบลง กระดูกผิวข้อบางลง และอาจพบกระดูกงอกได้ ส่วนการวินิจฉัยอาจต้องทำโดยพิจารณาปัจจัยอื่นๆ ร่วมด้วย เช่น อายุเกิน 50 ปี มีน้ำหนักตัวหรืออ้วนมากกว่าปกติ มีประวัติการทำงาน หรือเคยประสบอุบัติเหตุที่อาจทำให้มีความเสื่อมของข้อได้ง่าย เป็นต้น

ในขณะที่ ภาวะกล้ามเนื้อทำงานไม่สมดุลกัน (Muscle Imbalance) ที่ทำให้เกิดอาการปวดหลัง ปวดก้น เป็นผลจากกลุ่มกล้ามเนื้อก้นอ่อนแรง (Gluteal Muscles) แล้วทำให้กล้ามเนื้อด้านข้างต้นขาเกิดการตึงตัวมากกว่าปกติ (Iliotibial band) ซึ่งเป็นส่วนที่สำคัญมากเพราะส่วนนี้จะเป็นตัวที่ให้ความมั่นคงต่อข้อเข่าด้านนอก ซึ่ง band นี้จะทอดยาวตั้งแต่ขอบนอกของกระดูกเชิงกรานข้ามข้อสะโพกแผ่ไปเกาะที่ด้านข้างกระดูกสะบ้า (Patella bone) ข้ามเข่าไปเกาะที่ขอบนอกด้านบนกระดูกหน้าแข้ง (Gerdy’s tubercle) แผ่ไปรวมกับเส้นเอ็นของกล้ามเนื้อต้นขาด้านหลัง (Biceps femoris tendon) จากจุดเกาะดังกล่าวจึงทำให้เมื่อต้องมีการงอ-เหยียดเข่าซ้ำๆ บ่อยๆ จะเกิดการเสียดสีที่เยื่อนี้ ทำให้หนาตัวขึ้นมา และกลายเป็นเหตุที่ทำให้มีอาการเจ็บที่ด้านนอกของข้อเข่า กลุ่มอาการนี้จะเรียกว่า “Iliotibial Band Syndrome” จะพบมากในกลุ่มผู้ออกกำลังกายเช่น วิ่ง ฟุตบอล บาสเก็ตบอล ฯลฯ
อาการปวดเสียวที่เข่าจากสาเหตุนี้มักพบร่วมกับอาการตึงเจ็บที่ต้นขาด้านนอก ซึ่งอาจปวดตึงร้าวจากด้านข้างของข้อสะโพก หรือมีจุดกดเจ็บที่เหนือข้อพับด้านหลัง กล้ามเนื้อต้นขาด้านหลังจะตึงมาก และอาการจะเป็นมากหากต้องเดินนานๆ หรือหลังจากออกกำลังกายประเภทดังที่กล่าว

การแยกอาการของภาวะกล้ามเนื้อไม่สมดุล ออกจากอาการของโรคเข่าเสื่อม ทำได้ไม่ยาก เพราะกลุ่มผู้มีอาการกล้ามเนื้อไม่สมดุลมักพบในนักกีฬา วัยกลางคน ซึ่งอาจดูแข็งแรงดีอยู่ แต่ก็มีจุดอ่อนในส่วนที่ละเลย จนทำให้มีอาการเรื้อรัง มีหลายเคสสามารถเกิดในคนหนุ่มสาว อายุประมาณสามสิบต้นๆ กับอาการปวดเสียวที่เข่าด้านนอก รวมทั้งเริ่มมีอาการเข่าบิดเข้าด้านใน บางคนอาจเป็นนักกีฬามาตั้งแต่อายุสิบกว่าปี เล่นเล่นกีฬาหนักๆ จนวิ่งไม่ได้มาสาม-สี่ปีแล้ว กรณีแบบนี้อาจจะใช้เวลารักษาไม่ถึงเดือน ก็สามารถกลับไปวิ่ง ไปเล่นกีฬาได้เหมือนเดิม เพราะกลุ่มนี้เป็นกลุ่มที่กล้ามเนื้อแข็งแรงดีอยู่แล้ว เพียงให้รู้ว่าสิ่งที่เป็นเกิดจากสาเหตุไหน วิธีการในการดูแลรักษาตัวเองต้องอย่างไรบ้าง การรักษาก็จะพัฒนาได้อย่างรวดเร็ว

เมื่อใดที่ร่างกายของเรากำลังส่งเสียงบอกบางสิ่งอยู่ อย่าละเลยนะคะ เพราะจากที่เป็นเพียงเล็กน้อย อาจลุกลามเป็นปัญหาใหญ่ได้โดยที่เราคาดไม่ถึง โรคเข่าเสื่อมก็เหมือนกัน หากอาการปวดเสียวเข่าในช่วงแรก ไม่ได้รับการดูแล หรือออกกำลังกายให้เหมาะสมกับสาเหตุของปัญหา ก็อาจเป็นปัจจัยที่ทำให้เรื้อรังจนกลายเป็นโรคเข่าเสื่อมได้ ซึ่งถ้าเป็นถึงขั้นนั้นแล้วนอกจากจะต้องเจ็บปวดกับอาการที่เป็น ยังไม่สามารถรักษาให้คืนกลับเหมือนเดิมได้ ใส่ใจฟังเสียงของร่างกายแต่ต้น รักษาให้ถูกทางแต่เนิ่นๆ ช่วยป้องกันอาการป่วย และโรคภัยไข้เจ็บได้ไม่ยากค่ะ

กาแฟเพื่อสุขภาพ

ดื่มกาแฟมากไป หลายๆ คนอาจจะกลัวว่าจะนอนหลับได้ยาก โดยเฉพาะในผู้สูงอายุ ที่อาจจะมีอาการหัวใจเต้นแรง กระสับกระส่าย จนมองกันว่ากาแฟ อาจจะเป็นผู้ร้ายที่ต้องระมัดระวัง

วันนี้ มาดูกันค่ะ ว่าการดื่มกาแฟเป็นประจำ มีข้อดีอะไรบ้าง

เริ่มที่เบาๆ กันก่อน การดื่มกาแฟจะช่วยให้ร่างกายสดชื่น กระปรี้กระเปร่าได้ในเวลาอันรวดเร็ว ใครที่มีอาการง่วง ซึม อ่อนล้า กาแฟซักแก้ว ช่วยได้เลยค่ะ นอกจากจะทำให้สดชื่นขึ้นแล้ว ยังช่วยให้มีเรี่ยวแรง ทำงาน หรือทำกิจกรรมได้นานกว่าปกติ นอกจากนั้น การดื่มกาแฟ ยังช่วยในระบบการเผาผลาญของร่างกาย ทำให้ร่างกายเผาผลาญได้ดีขึ้นอีกด้วย
ขยับมาอีกหน่อย การดื่มกาแฟ วันละ 2-3 แก้ว จะช่วยในเรื่องของความจำ และการมีปฏิกิริยาโต้ตอบ และสำหรับผู้ที่อยู่ในวัยกลางคน กาแฟวันละ 4-5 แก้ว จะช่วยเพิ่มระดับฮอร์โมน GCSF ซึ่งจะช่วยลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคอัลไซเมอร์ได้อีกด้วย
การดื่มกาแฟวันละ 2-3 แก้ว ยังจะช่วยลดอัตราความเครียดลงได้ถึง 15% และหากดื่มกาแฟ 4 แก้วต่อวัน จะช่วยลดความเครียดลงได้ถึง 20% เลยทีเดียว

ยิ่งไปกว่านั้น สำหรับผู้ที่ดื่มกาแฟวันละ 2-5 แก้ว เป็นประจำ จะช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดเซลล์มะเร็งเต้านม มะเร็งต่อมลูกหมาก มะเร็งปากมดลูก และมะเร็งตับได้ด้วย เนื่องจากคาเฟอีน จะช่วยยับยั้งการเกิดเซลล์ที่ผิดปกติ และช่วยกำจัดสารพิษที่ร่างกายได้สะสมไว้
กาแฟ ยังมีส่วนช่วยในการลดความเสี่ยงต่อการเกิดนิ่วในถุงน้ำดี โดยการดื่มกาแฟเฉลี่ยวันละ 4 แก้ว จะช่วยลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคนิ่วในถุงน้ำดีลงถึง 25% เลยทีเดียว
และสำหรับผู้ที่มีปัญหาโรคเก๊าต์ คาเฟอีนมีส่วนช่วยบรรเทาการอักเสบของข้อ เนื่องมาจากกรดยูริกเกินขนาดอย่างได้ผล และใครที่ดื่มกาแฟเฉลี่ยได้ถึงวันละ 6 แก้ว ก็จะช่วยลดความเสี่ยงต่อการเป็นโรคเกาต์ลงได้ถึง 60% เลยล่ะค่ะ

แต่ก่อนจะเริ่มดื่มกาแฟกันวันละหลายๆ แก้ว ตามผลจากการวิจัยซึ่งอาจจะไม่ได้บอกถึงผลกระทบในส่วนอื่นๆ เราลองมาดูกันซักนิดค่ะ ว่าอะไรที่เราควรจะระวังกันบ้าง

อย่างที่ทราบกันค่ะ กาแฟ ช่วยให้ร่างกายกระปรี้กระเปร่า แต่การได้รับปริมาณคาเฟอีนเกิน 150 มิลลิกรัม ต่อวัน อาจมีผลทำให้นอนหลับยาก หรือหลับไม่สนิท ที่สำคัญ คาเฟอีน จะดึงแคลเซียมออกไปจากร่างกาย ผู้ที่ดื่มกาแฟเป็นประจำจึงควรมีการทานอาหารที่ให้แคลเซียมเพื่อเป็นการชดเชยด้วยนะคะ
นอกจากนั้น การดื่มกาแฟ หากใส่น้ำตาล หรือครีมเทียม ในปริมาณที่มากจนเกินไป ย่อมจะมีผลต่อไขมัน และน้ำหนักที่เพิ่มขึ้นมา การดื่มกาแฟจึงไม่ควรปรุงให้หวานจนเกินไป ถ้าเป็นไปได้ ลองดื่มกาแฟดำไม่ใส่น้ำตาลดูค่ะ และสุดท้าย หลีกเลี่ยงการดื่มกาแฟในขณะท้องว่าง เพราะคาเฟอีน จะเป็นตัวกระตุ้นให้ร่างกายหลั่งกรดออกมาในปริมาณที่มากกว่าปกติ อาจทำให้เสี่ยงต่อการเกิดโรคกระเพาะกันได้ค่ะ

ท้ายที่สุด อะไรก็ตามที่มากเกินพอดี คงจะไม่ใช่เรื่องดีซักเท่าไหร่ การดื่มกาแฟก็ย่อมมีทั้งส่วนที่ดี รวมไปถึงผลเสียที่อาจจะตามมาหากดื่มในปริมาณที่มากจนเกินไป ที่สำคัญเราคงต้องหมั่นสังเกตตัวเองดูด้วย ว่าเวลาดื่มแล้ว เรามีอาการผิดปกติอะไรหรือเปล่า เพราะการรู้จักสังเกตตัวเองย่อมเป็นการดูแลสุขภาพที่ดีที่สุดค่ะ
เอาล่ะ เล่าถึงข้อดีข้อเสียให้ได้ทราบกันครบแล้ว ถึงเวลาต้องขอตัวไปหากาแฟร้อนๆ หอมๆ มาเติมความสดชื่นซักแก้วก่อนแล้วล่ะค่ะ ^^

มาฟิตแอนด์เฟิร์มกันดีกว่า

ปัญหาเรื่องอยากมีเนื้อมีหนัง อยากมีกล้ามเป็นมัดๆ ส่วนใหญ่คงเป็นปัญหาของหนุ่มๆทั้งหลายที่อยากจะหล่อล่ำบึก ให้สาวๆ หลงใหลในก้ามมัดโตๆ บ้าง แต่สาวๆ หลายคน ก็อาจจอยากมีกล้ามน้อยๆ ให้แสดงถึงความฟิตแอนด์เฟิร์ม ที่มาพร้อมสุขภาพดีๆ บ้างเหมือนกัน วันนี้เราลองมาดูเมนูอาหารที่เหมาะกับการสร้างกล้ามเนื้อกันซักหน่อยค่ะ

เวย์ โปรตีน โปรตีนชนิดนี้หาทานได้ไม่ยาก เพราะจะอยู่ในอาหารประเภทนม อย่างในชีส โยเกิร์ต หรือ อาหารเสริม ข้อดีของเวย์โปรตีนคือ กรดอะมิโนที่จะช่วยเสริมสร้างกล้ามเนื้อให้เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ลองเลือกประเภทที่ดูดซึมเข้าร่างกายได้ดี เช่นอาหารเสริมที่ระบุว่า “ไฮโดรไลเสท เวย์โปรตีน (Hydrolysated whey)” หรือ “กรดอะมิโนแยกสาขา (BCAA)” ร่างกายจะเอาไปใช้ได้รวดเร็วสุดๆ

เนื้อขาว ย่อยง่าย ก่อนจะทานเนื้อสัตว์ ลองเลือกกันซักนิด เปลี่ยนจากการทานเนื้อแดงมาทานเนื้อสีขาวที่ย่อยง่ายกว่า… อาจจะงง ว่าเนื้อสีขาวคืออะไร ?  ก็เนื้อนุ่มๆ ขาวๆ อย่าง เนื้อปลา อกไก่ ไข่ขาว หรือ เต้าหู้ … ถ้าเลือกได้ เลือกทานเนื้อปลาเป็นอย่างแรก เพราะเนื้อปลามีแอนตี้ออกซิแดนท์สูง ช่วยให้ความหล่อ มาพร้อมกับความฉลาด ส่วนในไข่ก็มีไบโอติน เลซิทิน และโคลีน ช่วยบำรุงสมองให้ปราดเปรื่องได้เหมือนกัน

คอมเพล็กซ์คาโบไฮเดรต เรียกเป็นภาษาไทยเราว่า แป้งเชิงซ้อน คือแป้งที่มีเส้นใยไฟเบอร์สูงนั่นเอง พวกธัญพืชทั้งหลาย ทั้งข้าวกล้อง ข้าวหอมนิล จมูกข้าว ถั่ว งา เมล็ดฟักทอง เมล็ดทานตะวัน ลองประยุกต์ดูหน่อย เป็นเมนูมูสลี่ทานกับนม หรือ ทาขนมปังโฮลวีตก็ได้ เมนูแป้งที่มีเส้นใยสูงเหล่านี้จะช่วยให้คงความหนุ่มได้นาน และยังได้เพิ่มน้ำหนักจากแป้งไปในตัวอีกด้วยค่ะ

น้ำมันดี ถ้าอยากเพิ่มเนื้อด้วยการทานน้ำมันก็ต้องเลือกน้ำมันที่มีประโยชน์ ไม่เช่นนั้น เกิดไปอุดตันในเส้นเลือดก็คงแย่ เดี๋ยวนี้น้ำมันมีให้เลือกหลากหลายมากๆ ที่ฮอทฮิตหน่อยก็เป็นน้ำมันปลา น้ำมันมะกอก น้ำมันมะพร้าว  น้ำมันรำข้าว และน้ำมันคริล ดีต่อร่างกายทั้งเรื่องการบำรุงสมองจากโอเมก้า 3 ทั้งยังช่วยลดไขมันส่วนเกินอย่างกรดไขมันไม่อิ่มตัวเชิงเดี่ยว และยังได้ประโยชน์จากไตรกลีเซอร์ไรด์ ที่ได้จากน้ำมันมะพร้าวในเวลาเดียวกันค่ะ

วิตามีนที่ดี อยากมีกล้ามเนื้อก็ต้องทานวิตามินที่เกี่ยวกับควบคุมการเผาผลาญพลังงานในร่างกาย อย่างวิตามิน B ที่ช่วยบำรุงการจ่ายพลังงานในเซลล์ ด้วยกรดแอลฟ่าไลโพอิก และโคเอ็นไซม์คิวเท็น และสร้างเอนไซม์ต้านความชราด้วยโครเมียม ซีลีเนียม และสังกะสี

ทานอาหารให้ครบทุกหมวดหมู เลือกสุดยอดอาหารในแต่ละหมวดหมู่มาบำรุงร่างกาย และออกกำลังกายในท่าที่สร้างกล้ามเนื้อดูสักระยะ คงช่วยให้หุ่นผอมกะหร่องดูบึกบึนขึ้นได้ไม่น้อย แต่ถ้าลองทุกวิธีแล้วหนุ่มๆ ยังไม่ล่ำอย่างใจอยาก หรือสาวๆ ยังไม่รู้สึกว่าฟิตอย่างที่ตั้งใจ คงต้องเช็คกันหน่อยแล้วล่ะค่ะ ว่ามีโรคอะไรแอบแฝงอยู่หรือเปล่า โรคที่เกี่ยวกับการเผาผลาญอาหารในร่างกายได้แก่ ไทรอยด์เป็นพิษ ต่อมไร้ท่อผิดปกติ โรคแพ้ภูมิตัวเอง มะเร็งซุกซ่อนก่อนลุกลาม เป็นต้น

อย่างไรก็ตาม อยากจะฝากเอาไว้ว่าอาหารคงเป็นแค่ตัวช่วยในการสร้างกล้ามเนื้อให้ร่างกาย ถ้าอยากให้หุ่นฟิต มีกล้ามเท่ๆ คงต้องเน้นการออกกำลังกาย สร้างกล้ามเนื้อ และที่สำคัญคือการพักผ่อนให้เพียงพอ เป็นหลักการพื้นฐานสำคัญสำหรับการดูแลตนเองค่ะ

เรื่องของรอบเดือน ฮอร์โมน และความงาม

นอกจากเรื่องของอารมณ์ ที่มักจะเป็นผลจากฮอร์โมนโดยเฉพาะช่วงที่มีรอบเดือนแล้ว สาวๆ ทราบกันหรือไม่คะ ว่าแต่ละช่วงของรอบเดือน ร่างกายของสาวๆ เรา มีการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนอยู่ตลอดเวลา แล้วการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนนี่ล่ะค่ะ ที่ไม่ได้มีผลต่ออารมณ์ขึ้นๆ ลงๆ ของเราแค่นั้น แต่ยังมีผลต่อสภาพของผิวพรรณของเราอีกด้วย


วันนี้ มาทำความเข้าใจถึงรอบของประจำเดือน ที่สัมพันธ์กับการเปลี่ยนแปลงฮอร์โมนในร่างกาย และสภาพผิวของคุณสาวๆ เพื่อการดูแลผิวพรรณกันอย่างถูกวิธีกันดีกว่า

เริ่มจากช่วงแรก ช่วงที่มีประจำเดือน (Menstrual Phase) ช่วงนี้กินเวลาประมาณ 5 วันค่ะ ผู้หญิงส่วนใหญ่มักจะเพลียและต้องการผักผ่อนมากขึ้น สุขภาพผิวเองก็อ่อนแอลง เป็นเพราะฮอร์โมนเอสโตรเจน โปรเจสเตอโรนต่ำลง ร่างกาย และผิวพรรณจึงควรได้รับการดูแลเป็นพิเศษ เช่นการทาครีมเพื่อบำรุงผิวให้ชุ่มชื่น มีชีวิตชีวาขึ้นหน่อย พร้อมเพิ่มเวลาพักผ่อนให้มากกว่าปกติซักหน่อยค่ะ

ช่วงต่อมา ช่วงที่ประจำเดือนหมดลง ร่างกายของเราจะอยู่ในช่วงเตรียมการตกไข่ (Estrogen Phase) ช่วงนี้กินเวลาประมาณ 9-20 วัน ฮอร์โมนเอสโตรเจนจะสูงขึ้น เป็นช่วงที่เหมาะกับการบำรุงผิว เพราะผิวจะสามารถดูดซึมสารอาหารต่างๆ ได้ดี แถมผิวยังแข็งแรง สดใส ถ้าอยากลองครีมบำรุงผิวตัวใหม่ๆ ต้องช่วงนี้เลยค่ะ จะได้ไม่แพ้หรือมีอาการระคายเคือง

วนกลับมาถึงช่วงที่สาม ช่วงก่อนมีประจำเดือน ช่วงนี้เป็นช่วงหลังตกไข่ (progesterone Phase) กินเวลาประมาณ 14 วัน เป็นช่วงที่คุณผู้หญิงต้องใส่ใจผิวมากเป็นพิเศษ เพราะร่างกายของเราจะผลิตฮอร์โมนโปรเจสเตอโรนสูง ผิวจึงมีน้ำมันมาหล่อเลี้ยงมาก จนเกิดการสะสมอุดตันได้ เป็นที่มาของการเกิดสิวนั่นเอง แถมผิวยังผลิตเมลานินมากขึ้นอีกด้วย จึงควรปกป้องผิวจากแสงแดดแรงๆ เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดจุดด่างดำ ฝ้าแดด และกระค่ะ

นำมาฝากคุณผู้หญิงกันโดยเฉพาะเลยในวันนี้ หวังว่าความเข้าใจเรื่องของระบบและฮอร์โมนต่างๆ ในร่างกาย จะช่วยให้สาวๆ ทุกคนดูแลผิวพรรณกันได้อย่างเหมาะสมยิ่งขึ้น
ถึงเวลาสวยกันแล้วค่ะ ^^