ชะลอวัย ง่ายๆ ได้ด้วยตัวเอง

รู้ไหมคะว่าปัจจุบันนั้น การชะลอวัย เป็นศาสตร์หนึ่งที่ได้มีการศึกษากันอย่างลึกซึ้งในส่วนของ “การแพทย์เวชศาสตร์ชะลอวัย” ซึ่งเป็นศาสตร์ทางการแพทย์แนวทางใหม่ ที่มีวัตถุประสงค์หลักในการป้องกันโรค ค้นหาโรค รักษาโรค ฟื้นฟูสุขภาพจากความเสื่อมของร่างกายตามอายุ รวมถึงเพื่อช่วยชะลอความแก่ชราของร่างกายเราลงค่ะ
อาการของความเสื่อมถอยของร่างกาย และความชรา จะแสดงอาการให้เราเห็นดังต่อไปนี้ค่ะ
• อ่อนเพลียตลอดเวลา
• รู้สึกไม่สดชื่นแม้นอนเต็มที่ตลอดคืน
• รู้สึกไม่แข็งแรงเหมือนเคย
• น้ำหนักเพิ่มขึ้นหรือไม่สามารถควบคุมน้ำหนักได้
• หลงลืมมากขึ้นเรื่อยๆ
• เจ็บปวดตามร่างกาย ปวดหลัง ปวดข้อ
• นอนไม่หลับ หรือ นอนหลับไม่สนิท
• อารมณ์ตึงเครียด กระวนกระวาย หรือ วิตกกังวล
• ความต้องการทางเพศ และสมรรถภาพทางเพศลดลง
อาการเหล่านี้เป็นอาการของความชราค่ะ

แม้ว่าในอดีตเราอาจจะเคยถูกสอนให้ยอมรับสภาพ ว่าเป็นอาการตามวัย แต่ในปัจจุบัน ด้วยเทคโนโลยีทางการแพทย์สมัยใหม่เราไม่จำเป็นต้องยอมรับสภาพอีกต่อไปค่ะ

แอนไท-เอจจิ้ง เป็นศาสตร์ที่เกี่ยวข้องกับการชะลอวัย และทำให้สุขภาพแข็งแรงยิ่งขึ้น โดยการให้ฮอร์โมนทดแทน การเสริมสารอาหารเพื่อต้านอนุมูลอิสระ การเสริมวิตามินและแร่ธาตุให้ร่างกาย การใช้เซลล์บำบัด และการบริการทางการแพทย์ด้านอื่นๆ
เนื่องจากความเสื่อมของร่างกาย มีที่มาจากหลากหลายสาเหตุ ทั้งจากภาวะชีวเคมีไม่สมดุล ระดับฮอร์โมนที่ลดลง ขาดสารอาหาร สเต็มเซลล์ทำงานได้น้อยลง เทโลเมียร์ก็สั้นลง โปรแกรมชะลอวัยจึงครอบคลุมการรักษาทั้งในส่วนของภาวะการทำงานของร่างกาย สารอาหาร วิตามิน แร่ธาตุที่ไม่สมดุล เพื่อชะลอความเสี่ยงในการเกิดโรค รวมถึงแก้ไขปัญหาสุขภาพที่เกิดจากความเสื่อมตามวัย

วันนี้ สำหรับท่านที่สนใจในเรื่องของการชะลอวัยด้วยวิธีการง่ายๆ เรามีหลักการชะลอวัยอย่างง่ายๆ มาฝากกัน สามารถทำได้ตามหลัก 5 อ. ต่อไปนี้เลยค่ะ

อ. อากาศ พยายามอยู่ในที่ที่มี อากาศ บริสุทธิ์ หลีกเลี่ยงรังสียูวีเอ ยูวีบี ในแสงแดด ควันบุหรี่ ควันจากท่อไอเสียรถยนต์ รวมถึงหาเวลาไปพักผ่อนรับอากาศบริสุทธิ์นอกเมืองบ้างค่ะ
อ.อาหาร ควรทานให้ครบ 5 หมู่ เปลี่ยนกลุ่มอาหารให้หลากหลาย หลีกเลี่ยงอาหารที่มีแป้ง และไขมันสูง
อ.ออกกำลังกาย การออกกำลังกายควรทำอย่างสม่ำเสมออย่างน้อยอาทิตย์ละ 150 นาที โดยการแอโรบิก วิ่ง ว่ายน้ำ หรือการจ๊อกกิ้ง จะช่วยกระตุ้นเลือดลม ทำให้หัวใจแข็งแรง รวมถึงโยคะ ซึ่งจะช่วยให้ข้อต่อ และกล้ามเนื้อมีการยืดหยุ่นที่ดี และการยกเวท ด้วยน้ำหนักที่เหมาะสม จะช่วยเรื่องมวลกล้ามเนื้อให้แข็งแรง ป้องกันกระดูกบางค่ะ
อ.อารมณ์ดี การคิดบวก ปรับวิธีคิด นั่งสมาธิ จะช่วยคลื่นในสมองได้หลับสนิท
อ.แอนไท-เอจจิ้ง อ.สุดท้าย ใช้ต่อเมื่อร่างกายมีอาการเสื่อมในอายุที่มากแล้ว เราจำเป็นต้องใช้เทคโนโลยีทางการแพทย์และทีมแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเป็นผู้ให้การรักษา ชะลอไม่ให้สุขภาพเสื่อมถอย ช่วยฟื้นฟูให้แข็งแรงขึ้นอีกส่วนหนึ่ง
หลักการง่ายๆ เพียงเท่านี้ล่ะค่ะ ที่จะช่วยชะลอวัยให้คงความหนุ่มสาวอยู่ได้นานๆ ทั้งภายในและภายนอกเลยล่ะค่ะ

ฟิต เฟิร์ม ขาเรียวสวยด้วยการปั่นจักรยาน

บ่อยครั้งที่เราอยากจะออกกำลังกาย หลายๆ คนมีกีฬาที่ชอบอยู่ในใจ โชคดีอาจจะเริ่มรวมตัวกันได้ซักพัก แต่นานๆ ไป ก๊วนเพื่อนสนิทก็พากันห่างหาย ติดภารกิจกันบ้าง งานยุ่งกันบ้าง โดยเฉพาะช่วงที่ทุกคนต้องให้ความสำคัญกับ Social Distancing อย่างช่วงนี้ ท้ายที่สุดกิจกรรมการออกกำลังกายก็เป็นอันต้องพักเก็บไป … ลองมาดูทางเลือกที่กำลังเป็นที่นิยมกันอีกซักทางค่ะ กับการปั่นจักรยาน ที่ใครพอจะมีเวลา ก็กระโดดขึ้นจักรยานคันโปรด เริ่มปั่นกันได้แบบไม่ต้องรอเพื่อน
วันนี้ มาดูกันดีกว่าค่ะ ว่าการปั่นจักรยานที่กำลังอยู่ในกระแสนิยมนั้น มีดีอย่างที่หลายๆ คนว่าหรือเปล่า แล้วข้อดีที่ว่ามีอะไรกันบ้าง

อย่างแรก แน่นอนเลยค่ะ เรื่องของการเผาผลาญไขมันส่วนเกินในร่างกาย การปั่นจักรยานจะช่วยเพิ่มอัตราการเผาผลาญไขมันส่วนเกินในร่างกายได้เป็นอย่างดี ที่สำคัญผู้ที่ปั่นจักรยานเป็นประจำจะมีภาวะที่เรียกว่า “After Burner” คือการเผาผลาญไขมันส่วนเกินต่อเนื่องหลังจากการปั่นจักรยานต่อไปอีก 2-3 ชั่วโมง ซึ่งอาจจะเป็นช่วงที่มีการเผาผลาญไขมันที่มากกว่าการเผาผลาญหลังงานระหว่างการปั่นอีกเสียด้วยค่ะ

ประโยชน์ข้อที่สอง ที่เราอาจจะนึกกันไม่ถึงเลยค่ะ การปั่นจักรยานจะช่วยกระตุ้นให้การไหลผ่านของอาหารไหลในลำไส้ทำได้เร็วขึ้น จะมีผลให้มีการดูดซับน้ำในลำไส้ใหญ่น้อยลง ก้อนอุจจาระก็จะมีความเปียกชื้น ไม่แข็งแห้ง ทำให้เราถ่ายได้คล่องขึ้น ลดอาการท้องผูกได้ นอกจากนั้นการปั่นจักรยานยังจะช่วยเพิ่มกำลังในการบีบตัวของลำไส้ ทำให้ระบบทางเดินอาหารทำงานได้สะดวก คลายความแน่น อึดอัด หลังมื้ออาหาร และลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคมะเร็งลำไส้อีกด้วย

ประโยชน์ข้อต่อมา การปั่นจักรยานจะช่วยกระตุ้นการสร้างเซลล์สมองในส่วนที่เรียกว่า Hippocampus  ซึ่งเป็นสมองส่วนที่ใช้ในด้านความจำ ซึ่งจะเริ่มเสื่อมอย่างรวดเร็วในผู้ที่มีอายุ 30ขึ้นไป การกระตุ้นการสร้างเซลล์สมองในส่วนดังกล่าวขึ้นมาทดแทนจึงสามารถที่จะช่วยป้องกันโรคอัลไซเมอร์ได้เป็นอย่างดีเลยล่ะค่ะ

เนื่องจากการปั่นจักรยานจะกระตุ้นการทำงานของระบบการไหลเวียนของเลือด รวมถึงระบบการหายใจ จึงมีประโยชน์ในด้านการช่วยลดโรคความดัน  โรคอ้วน รวมถึงลดความเสี่ยงต่อการเกิดมะเร็งประเภทต่างๆ นอกจากนั้น ผลจากการปั่นจักรยานเป็นประจำ ที่ทำให้เกิดการทำงานที่ดีของระบบการไหลเวียนของเลือด ระบบหายใจ และการลดไขมันสะสมส่วนเกินยังมีส่วนช่วยลดความเสี่ยงต่อการเป็นโรคหัวใจได้กว่า 50%

การปั่นจักรยานในที่ที่มีอากาศบริสุทธิ์ จะช่วยให้ร่างกายได้รับออกซิเจนมากขึ้น และทำให้การลำเลียงออกซิเจน พร้อมทั้งสารอาหารไปเลี้ยงส่วนต่างๆ รวมถึงการขับถ่ายสารพิษออกจากร่างกายทำได้ดีขึ้น ทั้งยังช่วยกระตุ้นการสร้างสารคอลลาเจนในร่างกาย ช่วยให้หน้าตาสดใส อ่อนกว่าวัยอีกด้วย

สำหรับ ในด้านการรักษาอาการเจ็บป่วย การปั่นจักรยานในระดับความเร็วปานกลาง เป็นเวลาประมาณ 30 นาที เป็นประจำ สามารถทำให้อาการปวดหัวไมเกรนลงไปได้มากจนถึง 90% ของกลุ่มตัวอย่างในงานวิจัยในสวีเดน เนื่องจากร่างกายมีการหลั่งสาร endorphins ซึ่งมีฤทธิ์ช่วยลดอาการปวดในร่างกายในปริมาณที่มากพอ

อันที่จริงแล้ว ข้อดีของการปั่นจักรยานยังมีทั้งช่วยให้นอนหลับได้สนิทขึ้น ช่วยในด้านสุขภาพจิต ทำให้จิตใจเบิกบาน ลดความเครียด เสริมสร้างสมาธิ เพิ่มประสิทธิภาพทางเพศ และยังเป็นการช่วยอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมจากการลดการใช้พลังงานจากถ่านหิน แต่โดยส่วนตัวแล้ว เริ่มมองหาจักรยานตั้งแต่เห็นข้อดีข้อแรกแล้วล่ะค่ะ ก็เบิร์นได้ดีขนาดนั้น คงไม่ต้องไปมองหาวิธีออกกำลังกายประเภทอื่นอีกแล้ว จักรยานนี่ล่ะค่ะ ทางออกที่ดีเลย
ที่สำคัญ สำหรับสาวๆ นะคะ อย่าปรับอานจักรยานให้เตี้ยจนเกินไปค่ะ ให้ใช้ระดับความสูงที่พอเหมาะ คือในจังหวะที่ปั่นขาลงให้เท้ายืดได้เกือบสุดโดยเข่าไม่งอมาก และพยายามอย่าใช้เกียร์ที่หนักจนเกินไป เพราะนั่นจะเป็นสาเหตุของน่องที่ใหญ่ขึ้นโดยไม่รู้ตัวค่ะ ปรับอานให้พอเหมาะ ใช้ความเร็ว และเกียร์ที่ไม่หนักแรงจนเกินไป ปั่นให้สม่ำเสมอ รับประกันว่าได้น่องเรียวสวยเป็นของแถมอีกด้วยล่ะค่ะ ^^

เรื่องของคอลลาเจน

ได้ยินกันบ่อยๆ ว่าคอลลาเจนดีต่อผิวหลายประการ บางคนก็ทาน บางคนทา บางคนฉีด ความจริงแล้วคอลลาเจนคืออะไร ดีกับคุณสาวๆ อย่างไร และมีวิธีใช้แบบไหนบ้าง วันนี้เรามีข้อมูลเกี่ยวกับคอลลาเจนแบบลงลึกมาฝากกันค่ะ

คอลลาเจน เป็นสารอาหารประเภทโปรตีนชนิดหนึ่ง ซึ่งในร่างกายของคนเราจะมีคอลลาเจนอยู่เป็นองค์ประกอบในเนื้อเยื่อต่างๆ ทั่วร่างกาย รวมไปถึงภายในชั้นผิวหนังและข้อต่อต่างๆ ซึ่งเมื่อเราอายุมากขึ้น ความยืดหยุ่น และความหนาแน่นของคอลลาเจนซึ่งเป็นองค์ประกอบหลักในชั้นผิวก็ลดลง ทำให้ผิวหนังมีริ้วรอย และเหี่ยวย่นมากขึ้น

ปัจจุบันจึงมีการนำสารประเภทคอลลาเจนมาใช้ในวงการ anti-aging กันอย่างแพร่หลาย และแม้ว่าจะยังไม่มีงานวิจัยอย่างเป็นทางการที่ยืนยัน ว่าการทานอาหารเสริมประเภทคอลลาเจน จะสามารถทดแทนคอลลาเจนในผิวที่หายไป และ ชะลอความแก่ได้จริงหรือไม่ ทว่า มีรายงานทางวิชาการหลายฉบับ ที่ช่วยให้เราสรุปได้ถึงผลลัพธ์จากการทานอาหารเสริมประเภทคอลลาเจน ที่มีต่อร่างกายในส่วนต่างๆ ได้แก่

1. กระดูก และข้อต่อ (Bones and Joints)
มีการศึกษาในปี 2010 เป็นการศึกษาที่ทำในหญิงวัยหมดประจำเดือนที่เริ่มมีภาวะกระดูกพรุน พบว่าสารอาหารทดแทนคอลลาเจนไม่สามารถทำให้มวลกระดูกเพิ่มขึ้นได้ แต่มีส่วนหนึ่งที่มีปัญหาเกี่ยวกับข้อต่อ เช่น ข้อติด ข้อเสื่อม พบว่าอาการเจ็บดีขึ้นแต่ไม่หายขาด อย่างไรก็ดี โรคกระดูกพรุนเป็นโรคของความเสื่อม ซึ่งควรเน้นไปที่การป้องกัน

2. ดัชนีมวลกาย (Body composition)
มีการศึกษาในปี 2009 ว่าการได้รับ Hydrolyzed collagen เสริมในผู้หญิงวัยหมดประจำเดือน จะช่วยป้องกันการลดลงของมวลกล้ามเนื้อได้ ซึ่งจะช่วยให้การคุมน้ำหนักอยู่ในเกณฑ์มาตรฐานได้ดีขึ้น
ทั้งยังมีข้อบ่งชี้ในการใช้สารอาหารเสริมคอลลาเจนในการช่วยฟื้นฟูผิว เส้นผม และเล็บ ช่วยเรื่องสุขภาพของดวงตา ช่วยป้องกันโรคหัวใจ ช่วยให้นักกีฬาฟื้นตัวจากการบาดเจ็บ ช่วยเกี่ยวกับกระดูก และข้อต่อ

ประเภทของคอลลาเจนที่มีในปัจจุบัน

1. Hydrolyzed collagen
คือการได้คอลลาเจนจากกระดูก หรือเนื้อเยื่อของสัตว์ นำมาย่อยสลายด้วยกระบวนการ hydrolysis ซึ่งเป็นการทำปฏิกิริยากับโมเลกุลของน้ำ ทำให้ได้รูปแบบของคอลลาเจนที่ร่างกายสามารถดูดซึมได้ง่ายขึ้น จึงมักนำมาใช้ในอาหารเสริมประเภทต่างๆ รวมถึงเป็นส่วนผสมในเครื่องสำอางค์หลายๆชนิด

2. คอลลาเจนที่ใช้สำหรับฉีด
จัดเป็นสารหนึ่งในหลายชนิดที่นำมาใช้ทำสารเติมเต็ม ซึ่งมีข้อบ่งใช้จำเพาะในการฉีดเพื่อเติมเต็มผิวหนังที่เป็นร่องลึก ยกตัวอย่างเช่น สารเติมเต็มประเภท Poly-L-lactic acid จะกระตุ้นให้มีการสร้างคอลลาเจนใต้ผิวหนัง ทั้งนี้ การเลือกใช้สารเติมเต็มควรเลือกใช้ให้เหมาะสม และคำนึงถึงความปลอดภัย เพราะสารเติมเต็มบางชนิดอาจมีผลข้างเคียง หรือปฏิกิริยาอันไม่พึงประสงค์ได้ ดังนั้นจึงควรมีการศึกษา และปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญก่อนเสมอ

3. ครีมผสมคอลลาเจน
เราจะพบเห็นผลิตภัณฑ์ทั่วไปในท้องตลาดที่โฆษณาว่าช่วยในการสร้างคอลลาเจน แต่ก็ยังไม่มีข้อมูลทางวิทยาศาสตร์ที่ยืนยันแน่ชัดว่าคอลลาเจนในรูปแบบครีมจะสามารถถูกดูดซึมเข้าสู่ชั้นผิวหนังเพื่อไปเปลี่ยนเป็นคอลลาเจนได้ แต่องค์ประกอบในตัวครีมอาจช่วยให้ผิวกักเก็บความชุ่มชื้นได้ดี ช่วยป้องกันความเสื่อมของผิวได้

หากใครกำลังตัดสินใจในการเลือกทานอาหารเสริมประเภทคอลลาเจน ก็ควรศึกษาว่าเป็นคอลลาเจนประเภทใด มีความปลอดภัยมากน้อยแค่ไหน ส่วนประโยชน์ที่ได้ก็ขึ้นอยู่กับสภาพร่างกายของแต่ละบุคคล เพราะท้ายที่สุด คอลลาเจนก็คือสารอาหารประเภทโปรตีนชนิดหนึ่งเท่านั้นเองค่ะ

Office Syndrome ที่ Work From Home ก็เป็นได้


ทุกวันนี้ออฟฟิศซินโดรมกลายเป็นภัยร้ายที่คุกคามสุขภาพ จนมีผู้ป่วยจำนวนมากที่ต้องทุกข์ทนต่ออาการปวดต่างๆ ที่เกิดจากการนั่งทำงานนานๆ และในช่วงนี้ ที่หลายๆ คน Work From Home กัน ก็ไม่ได้แปลว่าจะไม่มีอาการเหล่านี้ เพราะการนั่งทำงานที่บ้านหลายๆชั่วโมงต่อเนื่องกัน ก็ส่งผลเสียได้ไม่ต่างกับการนั่งทำงานในออฟฟิสเลยล่ะค่ะ
วันนี้เราเลยมีคำแนะนำดีๆ เกี่ยวกับท่าออกกำลังกาย ที่สามารถทำได้ด้วยตัวเองมาฝากกัน เป็นท่าง่ายๆ ทำแล้วสบายขึ้น บรรเทาอาการปวดเมื่อยได้ดีมาก เหมาะสำหรับทุกเพศทุกวัย โดยเฉพาะสาวๆ หนุ่มๆ ที่นั่งทำงานต่อเนื่องกันนานๆ ถือเป็นท่าที่แก้อาการของออฟฟิศซินโดรมได้เป็นอย่างดี มาดูกันเลยดีกว่าค่ะ

ท่าที่ 1 บรรเทาอาการปวดคอ บ่า สะบัก
การใช้ชีวิตประจำวันส่วนใหญ่ของคนที่ทำงานต้องก้มหน้าอยู่เป็นประจำ กล้ามเนื้อด้านหน้าจะหดสั้นมาก และดึงให้คอก้มลงมาด้านหน้า ทำให้คอเสื่อมง่าย ท่านี้จะเป็นท่าที่ปรับสมดุลย์การทำงานของคอ บ่า สะบัก ช่วยบรรเทาอาการปวดเมื่อยคอ บ่า สะบักได้ดีมาก
วิธีการออกกำลังกาย
1 นั่งเก้าอี้ที่มีพนักพิง เลื่อนก้นให้ชิดพนัก
2 มือประสานกัน เหยียด-ยืดแขนให้สุดด้านเหนือศีรษะ แขม่วท้อง หายใจโดยใช้ชายโครงกางออก
3 คลายมือออกจากกัน กระดกข้อมือค้างไว้
4 ค่อยๆ เหยียดแขนไปด้านหลัง ให้สุดมือ ในขณะที่กระดกข้อมือไว้ ค่อยๆ เลื่อนมือลงจนสุด
5 ทำรอบละ 5 ครั้ง ทำได้ทุกๆ 2-3 ชม.

ท่าที่ 2 แก้อาการมือชา นิ้วล็อค
อาการปวดข้อมมืออาจลุกลามไปจนถึงการปวดร้าวไปจนถึงแขนได้ การยืดกล้ามเนื้อบริเวณมือและแขนจึงเป็นสิ่งจำเป็น โดยยืดทั้งเยื่อหุ้มกล้ามเนื้อ ยืดกล้ามเนื้อ ยืดเส้นประสาท เพื่อทำให้รู้สึกสบายทั้งคอ และแขน ช่วยบรรเทาอาการปวดตึงร้าวลงแขน ลดอาการปวด ตึง ชา จากนิ้วล็อก กระตุ้นการไหลเวียนของเลือด ของเส้นประสาท ให้ส่วนต่างๆ ทำงานได้ดีขึ้นด้วย
วิธีการออกกำลังกาย
1 นั่งเก้าอี้ที่มีพนักพิง เลื่อนก้นให้ชิดพนัก
2 มือซ้ายเอื้อมขึ้นด้านบนมือโอบศีรษะ และดึงศีรษะให้เอียงมาด้านซ้าย ร่วมกับการบิดคอไปด้านขวาเล็กน้อย
3 ในขณะที่ทำให้เกร็งกล้ามเนื้อหน้าท้องไว้ตลอด หายใจโดยใช้ชายโครงขยายขึ้น
4 เอียงคอค้างไว้ มือขวาเหยียดศอกให้ตรง เหยียดทั้งแขนไปด้านหลัง พร้อมกับลู่ไหล่ลง และดันไหล่ไปด้านหลังพร้อมกับกระดกข้อมือ
5 หายใจเข้า-ออก 1 รอบแล้วดึงกลับท่าเริ่มต้น ตอนทำให้รู้สึกเพียงตึงๆ โดยไม่มีอาการเจ็บ
6 ทำรอบละ 3 ครั้ง วันละ 2 รอบ ต้องทำช้าๆ นะคะ เพราะเป็นการยืดเส้นประสาท

ท่าที่ 3 บรรทาอาการปวดเข่า เมื่อยน่อง ลดบวมที่ขา-เท้า
การนั่งติดเก้าอี้เป็นเวลานานเป็นผลเสียต่อกล้ามเนื้อขา และสะโพก ทำให้ระบบการไหลเวียนโลหิตไม่ดี จนบางครั้งอาจพบอาการเส้นเลือดขอดได้ การยืดกล้ามเนื้อตลอดแนวขาไปถึงสะโพกจะช่วยกระตุ้นการไหลเวียนของเลือดและเส้นประสาท ลดอาการปวดเมื่อย หรืออาการบวมของขาและน่องในผู้ที่นั่งห้อยขาทั้งวันและยังช่วยสร้างกล้ามเนื้อที่ทำหน้าที่ในการพยุงข้อเข่า ป้องกันโรคเข่าเสื่อมอีกด้วย
วิธีการ
1 นั่งเก้าอี้ที่มีพนักพิง เลื่อนก้นให้ชิดพนัก
2 แขม่วท้องไว้และยืดหลังให้ตรง
3 เหยียดเข่าขึ้นโดยที่ปลายนิ้วเท้าชี้ขึ้นด้านบนตรงๆ เหยียดเข่าจนตึงสุด แล้วกระดกข้อเท้าเข้าหาตัว
4 แขม่วท้องค้างไว้ตลอดการทำท่านี้ พร้อมด้วย เหยียดหลังให้ตรง
5 ค้างไว้ในท่าดังกล่าวประมาณ 1 ลมหายใจเข้าออก แล้วค่อยงอเข่าลง
6 สลับข้างซ้าย ขวา ข้างละประมาณ 10 ครั้ง ทำวันละ 3 รอบ
**** หากต้องการสร้างกำลังกล้ามเนื้อให้มากอาจใช้ถุงน้ำหนักผูกไว้ที่ข้อเท้า เพื่อเป็นการสร้างกล้ามเนื้อที่แข็งแรงมากขึ้น

เอาล่ะค่ะ … ถึงเวลาพักสายตาจากจอคอมพิวเตอร์ ลดมือลงจากคีย์บอร์ด แล้วเริ่มมายืดเส้นยืดสายกันแล้ว ค่อยๆ บริหารไปตามขั้นตอนช้าๆ รับรองว่าจะสบายขึ้น แล้วถ้าได้ทำเป็นประจำอยู่เรื่อยๆ ก็สบายใจได้ ว่าอาการ office syndrome จะไม่มากร้ำกรายแล้วล่ะค่ะ ^^