เคล็ดไม่ลับ ถนอมดวงตาจากหน้าจอ


ทุกคนคงเคยได้ยินคำว่า Office Syndrome หรือ อาการป่วยที่เกิดจากการทำงานออฟฟิศ ด้วยพฤติกรรมเคยชิน ทั้งจากลักษณะท่าทางที่ไม่เหมาะสมกับสรีระ และโครงสร้างของร่างกายเป็นประจำ แต่ทราบกันหรือไม่คะ ว่าในช่วงที่หลายๆ คน Work From Home กันอย่างช่วงนี้ การทำงานหน้าจอคอมพิวเตอร์นานๆ ก็อาจจะเป็นสาเหตุของอาการป่วยอีกประเภทหนึ่งที่เรียกว่า Computer Vision Syndrome ได้เช่นกัน


Computer Vision Syndrome (CVS) เป็นอาการป่วยที่เกิดจากการใช้สายตากับหน้าจอคอมพิวเตอร์ สมาร์ทโฟน รวมถึงแท็บเล็ต เป็นเวลานานๆ เป็นเวลานาน ซึ่งโดยเฉลี่ย จะเกิดกับ 90% ของผู้ที่ใช้อุปกรณ์เหล่านี้เป็นประจำเลยล่ะค่ะ
อาการของ Computer Vision Syndrome รวมถึงอาการเคืองตา ตามัว แพ้แสง ไปจนกระทั่งอาการปวดศีรษะ ปวดคอ และหลัง ที่สำคัญ หลายๆ ครั้ง เราไม่รู้ว่าอาการเหล่านี้ที่เกิดขึ้น มีสาเหตุมาจากการใช้เวลากับหน้าจอมากจนเกินไปโดยไม่ได้ให้สายตาได้พัก และทำให้ไม่ได้รับการแก้ไขที่ตรงจุด
อย่างไรก็ตาม ในโลกปัจจุบัน การไม่เกี่ยวข้องกับอุปกรณ์เหล่านี้คงเป็นเรื่องที่ทำได้ยาก สิ่งสำคัญคงจะเป็นการป้องกันอาการป่วยที่อาจจะเกิดขึ้น รวมถึงการใช้สายตาในระดับที่เหมาะสม และให้สายตาได้พักเป็นระยะๆ วันนี้ มาดูกันดีกว่าค่ะ กับ 6 วิธีง่ายๆ ที่จะช่วยป้องกัน Computer Vision Syndrome

อย่างแรก ปรับตำแหน่ง ระยะห่าง และมุมการมองจอให้เหมาะสม
หน้าจอ ควรจะอยู่ต่ำกว่าระดับสายตาของเราประมาณ 10-15 ซม. เพื่อให้เราสามารถก้มศีรษะลงเล็กน้อย และ เว้นระยะห่างระหว่างหน้าจอกับตาของเราให้เหมาะสม ระยะห่างที่เหมาะสมที่สุด คือประมาณ 50-60 ซม. ค่ะ

อย่างที่สอง ปรับแสงสว่างโดยรอบให้เหมาะสม และพยายามลดแสงสะท้อนจากหน้าจอ
แสงสว่างที่มากจนเกินไปอาจทำให้เกิดอาการเมื่อยล้าของดวงตา
ขณะที่มีการใช้งานกับจอคอมพิวเตอร์ เราสามารถปรับแสงสว่างให้ลดลงได้ โดยปริมาณแสงที่เหมาะสมคือความสว่างเพียงครึ่งหนึ่งของแสงสว่างภายในห้องปกติ ซึ่งเราสามารถลดปริมาณของแสงได้ด้วยการปิดม่าน หรือดับไฟบางดวงในห้องทำงานลงบ้าง นอกจากนั้น เพื่อช่วยลดแสงสะท้อนจากหน้าจอในกรณีที่แสงมาจากด้านหลังผู้ใช้ และป้องกันแสงจ้าจากหลังจอ กรณีที่แสงมาจากด้านหลังจอคอมพิวเตอร์ เราควรจัดวางหน้าจอโดยให้แสงหลักมาจากด้านข้างของผู้ใช้งานค่ะ

อย่างที่สาม กระพริบตาบ่อยๆ และให้สายตาได้พัก
สาเหตุของอาการตาแห้ง อาจมีสาเหตุมาจากการเพ่งสายตาเป็นเวลานานๆ เพราะฉะนั้น ในระหว่างการใช้งานกับจอคอมพิวเตอร์ อย่าลืมกระพริบตาบ่อย หรือในทุกๆ ระยะ 20 นาที ให้หลับตา สลับกับลืมตา ช้าๆ ประมาณ 10 ครั้ง เพื่อช่วยลดอาการเกร็งของกล้ามเนื้อจากการเพ่ง และลดอาการตาแห้ง

อย่างที่สี่ พักสายตาเป็นระยะ
หลังจากการใช้งานของสายตากับหน้าจอต่อเนื่องเป็นเวลานานๆ ควรเปลี่ยนไปทำกิจกรรมอื่นเป็นระยะสั้นๆ โดยในทุกๆ 2 ชั่วโมง ควรให้สายตาได้พักอย่างน้อย 15 นาที และในทุกๆ 20-30 นาที ของการใช้สายตากับหน้าจอ ควรพักสายตาด้วยการละสายตาจากจอ และมองออกไปไกลๆ ซัก 15-20 วินาที หรือ จะมองไกล สลับการการมองใกล้ๆ ครั้งละ 10-15 วินาที ทำอย่างนี้ซัก 10 ครั้ง ก็จะช่วยให้สายตาได้พักอีกด้วย

อย่างที่ห้า นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ
การพักผ่อนที่น้อยจนเกินไป นอกจากส่งผลต่อการทำงานของระบบต่างๆ ภายในร่างกาย รวมถึงระบบภูมิคุ้มกันแล้ว ยังอาจทำให้เกิดอาการระคายเคืองกับดวงตาได้ง่ายขึ้นอีกด้วย ดังนั้น อย่าลืมจัดตารางให้กับการนอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอด้วยค่ะ

อย่างสุดท้าย ตรวจสุขภาพตาอย่างสม่ำเสมอ
ดวงตาเป็นอวัยวะที่มีความอ่อนไหว และควรได้รับการดูแลเป็นอย่างดี ผู้ที่ใช้สายตากับหน้าจอเป็นประจำ ควรได้รับการตรวจสุขภาพตาอย่างสม่ำเสมอ อย่างน้อยปีละ 1 ครั้ง เพื่อตรวจดูความผิดปกติทางสายตา หรืออาการป่วยที่อาจเกิดขึ้น เพราะการทราบถึงอาการผิดปกติในระยะแรก ย่อมหมายถึงโอกาสที่จะรักษา หรือป้องกันไม่ให้อาการรุนแรงขึ้นได้ การพบแพทย์ และตรวจความผิดปกติของสายตา เป็นเรื่องสำคัญ โดยเฉพาะผู้ที่มีอายุตั้งแต่ 40 ปี ขึ้นไป ที่อาจเริ่มมีอาการทางสายตาที่เกิดตามวัยได้อีกด้วย

เอาล่ะค่ะ ได้ทราบกันไปแล้ว ถึงแนวทางการป้องกัน Computer Vision Syndrome อาการป่วยจากการใช้สายตากับจอคอมพิวเตอร์ที่มากจนเกินไปที่อาจเกิดได้โดยที่เราไม่รู้ตัว ถึงเวลาไปดูกันแล้วล่ะค่ะ ว่าหน้าจอของเราอยู่ในตำแหน่งที่เหมาะสมหรือยัง ห้องทำงานมีปริมาณ และทิศทางของแสงที่พอเหมาะหรือไม่ และที่สำคัญ อย่าลืมให้สายตาได้พักบ้าง พักผ่อนให้เพียงพอ และจัดตารางการดูแลสุขภาพตา ไปพบแพทย์เป็นระยะกันด้วยนะคะ

เมนูสุขภาพ ทำเองได้ง่ายๆ


สถานการณ์เรื่องโรคภัยในช่วงนี้ ยังคงน่าเป็นห่วง การดูแลสุขภาพให้แข็งแรงจึงเป็นเรื่องสำคัญที่สุดสำหรับทุกๆ คน การเลือกรับประทานอาหารแต่ละมื้อจึงเป็นสิ่งสำคัญ ทั้งในเรื่องของปริมาณพลังงานที่ไม่มากจนเกินความจำเป็นซึ่งจะถูกแปรสภาพและสะสมเป็นไขมันส่วนเกิน รวมถึงในเรื่องของสารอาหาร วิตามิน และแร่ธาตุที่จำเป็นต่อร่างกาย ที่สำคัญควรทานอาหารที่มีผักผลไม้ร่วมด้วยในทุกมื้อ เนื่องจากในผักผลไม้จะมีเอนไซม์เป็นตัวช่วยย่อยอาหาร ทำให้ระบบเผาผลาญมีประสิทธิภาพดียิ่งขึ้น และสารอาหารก็จะถูกลำเลียงนำไปเลี้ยงเซลล์ต่างๆ หรือนำไปซ่อมแซมส่วนสึกหรอของร่างกาย ทั้งกระเพาะอาหารก็ไม่ทำงานหนักจนเกินไปอีกด้วย โดยเฉพาะช่วงเวลานี้ การเลือกทานอาหารที่ให้วิตามิน และแร่ธาตุที่เพียงพอ จะเป็นเกราะป้องกันไม่ให้ร่างกายป่วยไข้ได้ง่ายๆ อีกด้วยค่ะ

สำหรับวันนี้ เราจึงมีเมนูอาหารอร่อยๆ ที่ทำทานกันได้ง่ายมาฝากกัน เป็นเมนูช่วยย่อย ไม่ก่อให้เกิดอาการแน่นท้อง ทั้งยังเต็มไปด้วยสารอาหารที่เป็นประโยชน์ต่อร่างกายค่ะ
สลัดพล่าปูอัด เมนูขจัดอาการแน่นท้อง เป็นเมนูในแบบ Raw Food ที่ไม่ผ่านกระบวนการการปรุงด้วยความร้อน ซึ่งจะช่วยรักษาคุณค่าของผักเอาไว้ได้อย่างครบถ้วน ทั้งยังเป็นสูตรที่ไม่ต้องใส่ครีม หรือน้ำสลัดแบบทั่วไปอีกด้วย
โดยอาหารจานอร่อยจานนี้ มีผักใบเขียวที่ให้คลอโรฟิลกับร่างกาย และประกอบไปด้วยแคลเซียม โปรตีน วิตามินและเกลือแร่ และมีวิตามินซีสูง เป็นส่วนที่จำเป็นในการเสริมสร้างร่างกายให้แข็งแรงค่ะ
นอกจากนั้น ผักอื่นๆ ที่เป็นส่วนประกอบของเมนูนี้ยังเป็นสมุนไพรที่มีสรรพคุณดีมากๆ เช่น ตะไคร้ ที่มีสรรพคุณช่วยบรรเทาอาการแน่นท้อง จากสารอาหารที่สำคัญของตะไคร้ที่มีทั้งแคลเซียม เหล็ก เส้นใย ฟอสฟอรัส วิตามินเอ วิตามินบี วิตามินซี

นากจากสารอาหารที่ให้แล้ว เมนูนี้ยังมีดีที่มีผักที่เป็นส่วนประกอบหลัก เนื่องจากผักนั้นมีเส้นใย และไฟเบอร์ชนิดต่างๆมากมาย ทั้งช่วยในการขับถ่าย และสามารถดูดซับสิ่งปนเปื้อน รวมถึงสารตกค้างในระบบทางเดินอาหาร เป็นไม้กวาดชั้นดีสำหรับกวาดสิ่งสกปรกออกจากลำไส้ของเราเลยทีเดียว

ลองมาดูวิธีทำกันเลยค่ะ

ส่วนประกอบ
1. ผักสลัดครอส 2. หอมแดง 3. ผักสลัดเรดโอ๊ค 4. พริกขี้หนูสวน 5. ผักชี 6. น้ำสับปะรดสกัด 7. ปูอัด (เจ) 8. น้ำแอบเปิ้ลสกัด 9. ตะไคร้ 10. น้ำมะนาว 11. สะระแหน่ 12. มิโซะ

วิธีทำก็ไม่ซับซ้อน มีเพียงสี่ขั้นตอนหลักๆ เท่านั้นเอง เริ่มต้นด้วย

1. นำผักสลัดและผักที่ล้างสะอาดพร้อมรับประทานมาเด็ดเป็นคำพอดีคำ แล้วใส่จานพักไว้แช่ตู้เย็นเพื่อเพิ่มความกรอบให้กับผัก
2. นำปูอัด (เจ) มาหั่นเป็นคำพอเหมาะ ใส่ลงในชามคลุกสลัด
3. นำเครื่องปรุงได้แก่น้ำสับปะรด น้ำแอปเปิ้ล น้ำมะนาว มิโซะ พริกขี้หนู หอมแดง ตะไคร้ สับละเอียด ใส่ลงไปแล้วคลุกทุกอย่างให้เข้ากัน
4. นำผักสลัดที่พักไว้มาคลุกเคล้ากับน้ำพล่าให้เข้ากันโรยด้วยสะระแหน่

เพียงเท่านี้ ก็ได้สลัดพล่าปูอัด ในแบบ Raw Food พร้อมเสิร์ฟกันแล้วล่ะค่ะ
มื้อเย็นวันนี้ ใครที่กำลังมองหาเมนูเพื่อสุขภาพอร่อยๆ ลองหาผักสลัด ถ้าจะให้ดี เลือกเป็นผัก Organic กับส่วนผสมเพิ่มเติมอีกนิดหน่อย แล้วเข้าครัวแสดงฝีมือกันได้เลยค่ะ ^^

ผลไม้คลายร้อน สำหรับซัมเมอร์ปีนี้

อากาศร้อนๆ ช่วงนี้ เชื่อว่าอาจจะทำให้หลายๆ คนหงุดหงิดกับอะไรๆ รอบๆ ตัวกันได้ง่ายๆ มองไปทางไหน เห็นอะไร ก็ไม่ถูกใจไปซะหมด ก็อากาศร้อนๆ นี่ล่ะค่ะ ตัวดีเลย มีผลกับอารมณ์ของผู้คนแต่ไหนแต่ไรมา
แล้วนี่เพิ่งเข้าหน้าร้อนกันมาซักพัก อากาศยังร้อนได้ขนาดนี้ นึกไม่ออกเลย ว่าพอถึงเดือนหน้าอากาศจะร้อนขึ้นกว่านี้อีกซักแค่ไหน
แต่ก่อนที่ใจจะร้อนกันไปตามอากาศ วันนี้ มาดูกันดีกว่า กับเรื่องของผลไม้ใกล้ๆ ตัว ว่ามีอะไรบ้างที่จะมาช่วยคลายร้อนในใจให้เย็นๆ ลงกันได้บ้าง ไล่กันไปทีละอย่างเลยค่ะ

1. แตงโม ผลไม้ยอดนิยมสำหรับซัมเมอร์ มีประโยชน์ต่อสุขภาพมากเลยทีเดียว เพราะทั้งมีแคลอรีต่ำ รสชาติอร่อย ทานแล้วรู้สึกสดชื่น ที่สำคัญ นอกจากปริมาณน้ำเยอะๆ ในแตงโมแล้ว แตงโมยังอุดมไปด้วยวิตามินและแร่ธาตุหลากหลายชนิด ไม่ว่าจะเป็นวิตามินเอ วิตามินบี วิตามินซี คาร์โบไฮเดรต แคลเซียม แมกนีเซียม ฟอสฟอรัส ธาตุเหล็ก โพแทสเซียม ซึ่งโพแทสเซียมจะช่วยลดความดันโลหิตสูง และช่วยทำให้จิตใจร่าเริงแจ่มใสอีกด้วยค่ะ

2. กล้วย ผลไม้ที่อุดมไปด้วยวิตามินเอ วิตามินบี 6 วิตามินบี 12 วิตามินซี คาร์โบไฮเดรต โปรตีน แคลเซียม โพแทสเซียม ในกล้วยยังมีโปรตีนชนิดหนึ่งชื่อว่า ทริปโตเฟน (Tryptophan) ที่ช่วยในการผลิต สารเซโรโทนิน (Serotonin) หรือฮอร์โมนแห่งความสุข สามารถช่วยคลายเครียด ทำให้ผ่อนคลาย และช่วยให้อารมณ์ดี

3. แอปเปิ้ล มีทั้ง วิตามินเอ วิตามินบี วิตามินซี คาร์โบไฮเดรต โปรตีน ไขมัน เส้นใยอาหาร แคลเซียม ฟอสฟลอรัส โพแทสเซียม แมกนีเซียม ธาตุเหล็ก กำมะถัน และสารต้านอนุมูลอิสระ ทั้งมีส่วนช่วยควบคุมน้ำหนัก ลดคอเลสเตอรอล ลดระดับน้ำตาลในเลือด ลดความดันแล้ว และลดความเครียด นอกจากนั้น แอปเปิ้ลยังมี สารไลโคปีน (Lycopene) เป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่สำคัญที่มีส่วนช่วยป้องกันโรคมะเร็งต่างๆ ชะลอความเสื่อมของเซลล์ในร่างกาย อีกทั้งยังมี เบตาแคโรทีน (Beta-Carotene) ที่มีส่วนช่วยบำรุงสายตา บำรุงผิวพรรณ และชะลอความแก่ชราค่ะ

4. มะพร้าว เต็มไปด้วยวิตามิน และแร่ธาตุหลายชนิด มีสารอาหารที่ดีต่อร่างกาย ไม่ว่าจะเป็นวิตามินซี วิตามินบี กรดอะมิโน แคลเซียม แมกนีเซียม ฟอสฟอรัส โพแทสเซียม ธาตุเหล็ก ไขมันที่เป็นประโยชน์ต่อร่างกาย อีกทั้งในมะพร้าวยังมีกรดไขมันที่เรียกว่า ‘Medium Chain Triglyceride’ เป็นกรดไขมันแบบพิเศษที่สามารถช่วยทำให้อารมณ์ดีด้วย

5. ผลไม้ตระกูลเบอร์รี ไม่ว่าจะเป็น สตรอว์เบอร์รี ราสเบอร์รี แครนเบอร์รี แบล็กเบอร์รี และบลูเบอร์รี โดยเฉพาะบลูเบอร์รี ที่อุดมไปด้วยวิตามินซี วิตามินอี อีกทั้งยังเต็มไปด้วยสารต้านอนุมูลอิสระ หากรับประทานเป็นประจำจะช่วยบำรุงสายตา บำรุงผิวพรรณ ช่วยในการขับถ่าย บำรุงสมอง บำรุงหัวใจ ที่สำคัญ ช่วยลดความเครียด และทำให้ร่างกายรู้สึกสดชื่นกระปรี้กระเปร่าขึ้นมาด้วยค่ะ

ผลไม้หลากหลายชนิด หาทานกันได้ง่าย กับสารอาหารที่เป็นประโยชน์ และคุณสมบัติที่อาจจะช่วยในด้านอารมณ์ และคลายความเครียดลงได้บ้าง แต่ท้ายที่สุด เรื่องของใจร้อนๆ ในหน้าร้อนอย่างนี้ คงจะอยู่ที่เราทุกคนล่ะค่ะ สูดลมหายใจลึกๆ ค่อยๆ มองเรื่องราวรอบๆ ตัว ปล่อยวาง มองข้ามรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ ไปบ้าง เชื่อว่าอากาศร้อนๆ น่าจะทำอะไรกับใจเราได้ไม่มากซักเท่าไหร่ค่ะ ^^