เคล็ดไม่ลับ กินเจแบบสุขภาพดี

เจ.jpg
กำลังเข้าสู่เทศกาลกินเจกันอีกแล้ว เทศกาลกินเจปีนี้เริ่มตั้งแต่วันที่ 28 กันยายน ไปจนถึงวันที่ 7 ตุลาคม ค่ะ

สำหรับการทานอาหารเจ หลายๆ คนมักจะบ่นว่า ยิ่งทานยิ่งอ้วน ไขมันขึ้น ความดันสูง … อย่างนี้ไม่ดี ไม่เหมาะแน่นอน วันนี้เราเลยมีเคล็ดลับดีๆ สำหรับการเลือกทานอาหารเจให้อิ่มแถมยังดีต่อสุขภาพมาฝากกันค่ะ

ลดอาหารมัน เมนูผัดหมี่ เต้าหู้ทอด ผัดผัก
หลายเมนูยอดฮิตของอาหารเจล้วนเป็นเมนูทอดๆ ผัดๆ จึงมีน้ำมันอยู่ค่อนข้างเยอะ ลองหันไปเลือกทานเมนูต้ม ตุ๋น นึ่ง กันดีกว่า นอกจากจะย่อยง่ายแล้ว ยังไม่มีเรื่องไขมันส่วนเกินมากวนใจให้ต้องกังวลว่าน้ำหนักจะขึ้น หรือ ไขมันในเส้นเลือดจะสูงขึ้นหรือเปล่า

งดอาหารเค็ม
เกี่ยมฉ่าย กาน่าฉ่าย หรือผักดองเค็มชนิดต่างๆ ล้วนอุดมไปด้วยเกลือ หรือโซเดียมในปริมาณมาก ทำให้เสี่ยงต่อการเป็นโรคความดันโลหิตสูง และโรคไต ทางที่ดีลองเลือกทานอาหารที่มีรสชาติกลางๆ ไม่จำเป็นต้องมีรสจัดมากนักจะดีกับร่างกายมากกว่า

หลีกเลี่ยงหวานจัด
ช่วงทานเจหลายๆ คนรู้สึกโหย จนอยากจะเติมน้ำตาลให้กับร่างกายมากขึ้นซักหน่อย แต่จริงๆ แล้วการทานหวานมากๆ นั้น น้ำตาลจะเปลี่ยนเป็นกลูโคสอยู่ในกระแสเลือด แล้วไปกระตุ้นให้ร่างกายเร่งการหลั่งสารอินซูลินออกมามากจนเกินไป ทำให้รู้สึกหิวเร็วขึ้นไปอีก ช่วงที่ทานเจจึงไม่ควรทานอาหารที่มีรสหวานจัด ควรเน้นไปที่รสจืด หรืออาหารประเภทธัญพืช ข้าวกล้อง ที่จะช่วยให้อยู่ท้อง อิ่มได้นานแบบไม่หิวโหยค่ะ

ทานแป้งให้น้อย
อาหารเจที่หาทานได้ง่ายที่สุดก็คงจะหนีไม่พ้นพวกแป้งทั้งหลาย อาจเป็นเพราะผักผลไม้พากันขึ้นราคาต้อนรับเทศกาลนี้ แต่การทานแป้งนั้นจะทำให้ร่างกายได้รับคาร์โบไฮเดรตมากเกิน ลองเลือกทานอาหารประเภทถั่ว เห็ด หรือโปรตีนสำเร็จ เพราะจะได้รับสารอาหารที่ดีต่อร่างกายอย่างโปรตีน และแคลเซียม ที่ร่างกายดูดซึมนำไปใช้ได้ง่าย ให้พลังงาน และมีประโยชน์ต่อร่างกายมากกว่าค่ะ

ทานผักให้ครบทุกสี
การทานผักดี ต่อสุขภาพทั้งในเรื่องของวิตามินที่มีประโยชน์ กากใยอาหาร เอ็นไซมน์ที่เป็นประโยชน์ต่อระบบต่างๆ ของร่างกาย อีกทั้งการเลือกทานผักหลากสีอย่างเช่น แครอทสีส้ม บล็อกเคอรี่สีเขียว ฟักทองสีเหลือง มะเขือม่วงสีม่วง หรือมะเขือเทศสีแดง ยิ่งจะเป็นการช่วยเพิ่มสารต้านอนุมูลอิสระให้ร่างกายแข็งแรง ต่อต้านสารพิษที่อาจตกค้าง และเป็นอันตรายต่อร่างกายได้อีกด้วย

จิบน้ำให้เยอะ
หลายๆ คน บ่นว่าทานเจแล้วหิวบ่อย อาหารไม่ค่อยอยู่ท้อง เคล็ดลับที่ช่วยลดอาการหิวได้ดีนั่นคือ “น้ำ” ค่ะ สาเหตุหนึ่งเป็นเพราะผู้ที่ทานอาหารเจ อาจเกิดอาการหิวเทียม จากการที่สมองส่วนที่ควบคุมความกระหาย และความหิวอยู่ใกล้กัน การดื่มน้ำระหว่างวันสักหนึ่งแก้วในแต่ละชั่วโมงจะช่วยป้องกันไม่ให้เกิดอาการหิวเทียม และสามารถทานเจได้สบายๆ เลยล่ะค่ะ

รับประทานอาหารแบบสมดุล
ลองทำเป็นตาราง หรือจดบันทึกดูนะคะ ว่าแต่ละมื้อเราทานอาหารชนิดไหนไปบ้าง เพราะช่วงที่เราทานอาหารเจ เป็นช่วงที่ดี ที่จะให้เราได้พิจารณาอย่างถี่ถ้วนมากขึ้น ว่าเรากำลังรับประทานอาหารชนิดไหน กำลังนำสารอาหารแบบไหนเข้าสู่ร่างกาย มีประโยชน์ หรือไม่ การเลือกทานอาหารที่ไม่ซ้ำกัน จะเป็นการสร้างสมดุลให้กับร่างกายให้ได้รับสารอาหารที่หลากหลายไปบำรุงดูแลในทุกส่วนของร่างกายได้อย่างมีประสิทธิภาพค่ะ

ที่สำคัญ เทศกาลกินเจปีนี้ นอกจากการใส่ใจในเรื่องการเลือกรับประทานอาหารแล้ว การสำรวจ และดูแลจิตใจ รวมไปถึงการออกกำลังกายก็ควรทำควบคู่กันไปด้วย ทั้งร่างกาย และจิตใจ จะได้แข็งแรง สดชื่น และ สะอาดผ่องแผ้วไปพร้อมๆ กันค่ะ

ผักบุ้งปลูกเอง สบายใจไร้สารเคมี

ผักบุ้ง.jpg
ผักบุ้ง ผักพื้นบ้านที่หาซื้อกันได้ทั่วไป กับสรรพคุณมากมายในด้านสุขภาพ วันนี้ ลองมาดูกันซักหน่อยค่ะ ว่าผักบุ้งมีประโยชน์อะไรบ้าง

อย่างที่ทราบกัน อย่างแรกเลย ผักบุ้งอุดมไปด้วยวิตามิน A จึงมีประโยชน์ต่อสายตา ทั้งช่วยบำรุงสายตา ช่วยรักษาอาการตาฝ้าฟาง ต้อ ลดอาการปวดตาเมื่อใช้สายตามากๆ รวมถึงช่วยลดอาการคัน และอักเสบในตาค่ะ นอกจากนั้น ผักบุ้งยังมีส่วนช่วยในการลดระดับของน้ำตาลในเลือด ป้องกันการเกิดโรคเบาหวาน ทั้งยังมีกากใยในปริมาณมาก ที่ช่วยในระบบขับถ่าย ทำความสะอาดลำไส้ และขจัดสารที่ตกค้างในลำไส้

ที่สำคัญ ผักบุ้ง ยังมีสารต้านอนุมูลอิสระ ที่มีส่วนช่วยยับยั้งความเสื่อมของร่างกาย ช่วยชะลอวัย และลดการเกิดของริ้วรอยแห่งวัยอีกด้วยค่ะ

ทว่า สิ่งที่น่าสนใจ ที่มากับคุณค่าที่มากมายของผักบุ้ง คือความสามารถในการเจริญเติบโตที่ง่ายอย่างเหลือเชื่อของผักชนิดนี้ค่ะ ผักบุ้ง เป็นผักที่ไม่เรื่องมากเลยจริงๆ เพียงแค่มีปัจจัยในการเจริญเติบโตพร้อม คือมีน้ำ มีสารอาหาร มีอากาศ และแสงแดดไม่มากมาย เพียงเท่านี้ ผักบุ้งก็พร้อมจะทอดยอด ชูใบขึ้นมาอย่างรวดเร็ว ไม่ได้ต้องการการดูแลอะไรเป็นพิเศษเลยล่ะค่ะ

ทราบกันแล้ว ทำไมเราไม่ลองมาปลูกผักบุ้งง่ายๆ ในแบบไฮโดรกันซักหน่อยล่ะค่ะ ไหนๆ ช่วงนี้ เด็กๆ ก็เริ่มปิดเทอมกันแล้ว นอกจากจะเป็นกิจกรรมการเรียนรู้สนุกๆ สำหรับบ้านที่มีสมาชิกตัวน้อยๆ แล้ว ยังได้ผักสดๆ ที่สะอาด ปราศจากสารตกค้าง และยากำจัดสัตรูพืช ทั้งยังมีคุณค่าทางอาหารไว้ทานกันในครอบครัวอีกด้วย ใครสนใจ มาเตรียมตัวกันได้เลยค่ะ

อุปกรณ์ที่ต้องเตรียม มีเพียง 1) ตะกร้าแบบมีรูโปร่ง 2) กระบะ หรือถังใส่น้ำ 3) มะพร้าวสับ 4) เมล็ดพันธุ์ และ 5) น้ำปุ๋ยไฮโดร แบบ A+B มีค่า EC=1.6 และ 2.0-2.2

ปลูกผักบุ้งขั้นตอน เริ่มจากการนำมะพร้าวสับ ล้างให้สะอาด ใส่ลงในตะกร้า ให้สูงประมาณ 2-3 นิ้ว จากนั้น วางตะกร้าลงบน กระบะ หรือถัง แล้วใส่น้ำสะอาดให้ถึงระดับกลางของมะพร้าวสับ เมื่อเสร็จแล้ว ให้โรยเมล็ดพันธุ์ผักบุ้งให้ทั่ว โดยไม่ต้องให้ถี่มาก แล้วนำผ้ามาคลุมไว้ ก่อนนำไปวางในที่ร่ม คอยดูระดับน้ำทุกวัน หากระดับน้ำลดลง ให้เติมน้ำให้ถึงระดับของมะพร้าวสับ

ประมาณ 2-3 วัน ผักบุ้งจะเริ่มมีรากงอกออกมา ให้นำผ้าคลุมออก

ระหว่างนั้น ให้หมั่นดูระดับน้ำอย่าให้ต่ำกว่าระดับของมะพร้าวสับ เพราะจะทำให้ต้นอ่อน แห้งตายได้

จนถึงวันที่ 5 ให้เติมน้ำปุ๋ยไฮโดร ที่มีค่า EC=1.6 และนำกระบะ ออกแดด หมั่นดูระดับน้ำ และ ในวันที่ 14 จึงเติมน้ำปุ๋ยไฮโดร ที่มีค่า EC=2.0-2.2 ปล่อยไว้อีกหนึ่งสัปดาห์ ต้นผักบุ้งจะใกล้โตเต็มที่ พร้อมสำหรับการนำมาปรุงเป็นเมนูอร่อยๆ กันแล้ว ให้ถ่ายน้ำปุ๋ยออก แล้วใส่น้ำสะอาดเพื่อล้างปุ๋ยที่ตกค้างออก ทิ้งไว้ 3-5 วัน จากนั้น ก็ถึงเวลาเก็บเกี่ยวผลงานกันแล้วค่ะ

ระยะนี้ ผักบุ้งจะมีลำต้นยาว 12-14 นิ้ว ให้ตัดผักบุ้งสูงจากโคนประมาณ 2-2.5 นิ้ว ซึ่งต้นตอที่เหลืออยู่ สามารถนำไปแช่น้ำ ใส่ปุ๋ย ตามขั้นตอนเดิม และจะงอกออกมาได้อีก 2-3 รอบเลยค่ะ

สำหรับผักบุ้งที่ตัดมาแล้ว ก็ถึงเวลานำมาครีเอตเป็นเมนูอร่อยๆ สำหรับมื้อสุขภาพของทุกคนในครอบครัวค่ะ จะผัด จะแกง หรือจะจิ้มน้ำพริก สำหรับผักบุ้งจีน ก็ให้คุณค่าเต็มที่ ไม่ต้องกลัวสารตกค้าง แถมยังเป็นอะไรที่เด็กๆ จะได้ภูมิใจกันอีกด้วย

เอาล่ะ งานนี้ใครพร้อมแล้ว เตรียมลงมือกันได้เลยค่ะ ^^