ทานผัก ใครๆ ก็ว่าดี แต่ถ้าตั้งหน้าตั้งตาทานแต่ผักๆๆ จะเกิดอะไรขึ้นกับร่างกายของเรากันนะ ลองมาดูกันดีกว่าค่ะว่าร่างกายของเราจะตอบสนองต่อการรับสารอาหารบางอย่างมากเกินไปอย่างไร
มะละกอ
ใครท้องผูก ก็มักจะเรียกหามะละกอมารับประทาน เพราะมะละกอจะช่วยระบายให้สบายท้อง มีผลการวิจัยยืนยันมาแล้วหละค่ะว่ามะละกอมีประโยชน์อีกหลายประการเลยทีเดียว ทั้งช่วยต้านมะเร็ง ช่วยให้ระบบย่อยอาหารของเราทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ และด้วยปริมาณกากใยที่สูงจึงช่วยในเรื่องระบบขับถ่าย ทำให้ห่างไกลจากโรคริดสีดวงทวารไปโดยปริยายค่ะ มะละกอยังช่วยบำรุงตับ ป้องกันอาการตับโต และสำหรับคุณแม่ที่ให้นมลูกนั้น มะละกอยังช่วยให้คุณแม่มีน้ำนมมากขึ้นอีกด้วยค่ะ
แต่ถ้าทานมะละกอมากเกินไป จะเกิดอะไรขึ้น?
ด้วยความที่ “มะละกอ” มีสารแคโรทีนอยด์ เมื่อทานในปริมาณมากสารนี้อาจตกค้างในตับของเราได้ สังเกตุได้จากอาการที่ฝ่ามือจะเริ่มกลายเป็นสีเหลือง คำถามคือ ปริมาณที่ว่ามากนั้นคือเท่าไหร่กัน ปริมาณมากในที่นี้คือ ทานมะละกอประมาณวันละหนึ่งลูกและทานทุกวันด้วยนะคะ ถ้าทานแบบปกติก็ยังไม่น่าห่วงหรอกค่ะ
แครอท
ผักสีส้มสด เมนูโปรดของเจ้ากระต่ายนั้นมีประโยชน์มากมาย ทั้งมีวิตามินเอและสารเบต้าแคโรทีน ช่วยบำรุงสายตา ช่วยบำรุงผิวและเนื้อเยื่อต่างๆ ให้ทำงานได้ดี ช่วยยับยั้งความเสื่อมของอวัยวะสำคัญของร่างกาย ช่วยขับปัสสาวะ บำรุงเลือดให้ไหลเวียนสะดวก และช่วยขับของเสียออกนอกร่างกาย นอกจากนี้แครอทยังมีสารฟอลคารินอลซึ่งทำงานร่วมกับสารเบต้าแคโรทีน สามารถต้านอนุมุลอิสระอันเป็นสาเหตุของการเกิดมะเร็ง มีการวิจัยมาแล้วค่ะ ว่าแครอทมีสารแคลเซียมเพคเตท ช่วยลดระดับคลอเลสเตอรอลในเลือด ลดอัตราการเกิดโรคหัวใจ ป้องกันภาวะหัวใจล้มเหลว ลดอัตราการเกิดโรคหลอดเลือดสมอง อัมพฤษ์ อัมพาต ความดันโลหิตสูงและต้อกระจกอีกด้วยนะคะ
แล้วถ้าทานแครอทมากไป จะเป็นอย่างไร ?
ผิวสีเนื้อของคุณ อาจจะเปลี่ยนเป็นผิวสีส้มก็ได้ค่ะ โดยเฉพาะบริเวณผิวที่บางๆ ทั้งมือและเท้าจะกลายเป็นสีส้มอ่อนๆ ได้ เหตุผลก็มาจากการที่ร่างกายของเราไม่มีเอนไซม์ที่จะเปลี่ยนสารแคโรทีนอยด์จากแครอท ให้เป็นวิตามินเอได้นั่นเองค่ะ จึงทำให้มีสารทีส้มนี้สะสมในร่างกายมากเกิน แต่ถ้าเราหยุดทานแครอทสักพักอาการตัวส้มก็จะหายไปได้เอง แต่โดยรวมๆ แล้ว ไม่ได้น่ากลัวอะไรค่ะ
บีทรูท
บีทรูทคนไทยอาจจะยังไม่คุ้นเคยในการนำเอามาปรุงอาหารสักเท่าไหร แต่จริงๆ แล้วบีทรูทประกอบด้วยสารอาหารมากมาย ทั้งแคลเซียม ฟอสฟอรัส โซเดียม โพแทสเซียม เหล็ก ทั้งให้วิตามินสูง ทั้งวิตามินซี วิตามินเอ วิตามินบี 1 และบี 2 สารสีแดงในหัวบีทรูท คือเบทานิน (betanin) เป็น กรดอะมิโนที่มีสรรพคุณยับยั้งการเจริญเติบโตของเนื้องอกและมะเร็ง นอกจากนั้นบีทรูทยังมีคุณสมบัติช่วยกระตุ้นภูมิคุ้มกันของร่างกาย บำรุงเลือด ทำให้การไหลเวียนของโลหิตไปเลี้ยงส่วนต่างๆ ของร่างกายได้ดี บำรุงตับ ไต ถุงน้ำดี เป็นอาหารล้างพิษโดยเฉพาะในผู้ป่วยที่ติดสุราเรื้อรัง เป็นยาระบาย แก้เจ็บคอ ขับเสมหะ แก้ไอ ช่วยการเจริญอาหาร แก้บิด แก้ปวดหัว ปวดฟัน และยังช่วยขับปัสสาวะอีกด้วยค่ะ
รับประทานบีทรูทมากเกินไป จะเกิดอะไรขึ้น ?
ด้วยความที่บีทรูทอุดมไปด้วยสาร เบทานิน ที่ให้สีแดง เมื่อรับประทานบีทรูทมากเกินไปจะทำให้ปัสสาวะเป็นสีแดงออกมาได้ แต่ก็เป็นเพียงการขับสารที่เป็นส่วนเกินออกมา ไม่ได้เป็นอัตรายอะไรนะคะ
คนรักผักทั้งหลายอ่านแล้ว อย่าลืมสำรวจร่างกายกันไปด้วย ว่าเราเป็นแบบนั้นหรือเปล่า ทานผักดีต่อร่างกายอยู่แล้วค่ะ แต่อะไรที่มันมากเกินพอดีก็อาจจะส่งผลเสียให้กังวลกันได้เช่นกัน แม้แต่ในเรื่องผักๆ นะคะ